สวัสดีค่า หลังจากชุลมุนกับการเดินทางเดือนกุมภาพันธ์ติดๆกัน รวมไปถึงทริปที่หลายๆคนรอคอยที่จะอ่านรีวิวนี้ ขอบอกว่าพิเศษกว่ารีวิวไหนๆเพราะเป็นทริปที่ปอพาเเฟนเพจไปตะลุยเวียดนามเหนือ ทริปนี้เกิดขึ้นจากการนึกสนุก อยากพาแฟนเพจที่ไม่อยากเที่ยวคนเดียวหรือชอบเที่ยวคนเดียวแต่อยากหาเพื่อนเที่ยวสไตล์เดียวกันไปเที่ยว (งงมั้ย) หลังจากประกาศกิจกรรมพาแฟนเพจไปเที่ยวก็ได้รับความสนใจค่อนข้างมาก (กว่าที่ปอคาดไว้) สรุปสุดท้ายได้ผู้ร่วมทริปมาทั้งหมด 7 คนค่ะ มาจากหลายที่ หลายอาชีพ หลายวัย แต่หัวใจรักการเดินทางเหมือนกัน ทริปนี้พวกเราจะเดินทางไป ฮานอย และซาปา เป็นจุดหมายหลักค่ะ โดยแพลนการเดินทางมีคร่าวๆดังนี้
28/02/16 เดินทางจากกรุงเทพ – ฮานอย (พักที่ฮานอย)
29/02/16 เที่ยวในฮานอยทั้งวัน กลางคืนนั่งรถไฟแบบ overnight ไปซาปา 
01/03/16 ถึงซาปาตอนเช้า ไปที่พัก พักผ่อน และไปเที่ยวหมู่บ้าน Catcat
02/03/16 Trekking เส้นทาง Sapa – Tavan village (15 km)
03/03/16 ขึ้น Fansipan legend ปีนไปจนถึงยอดเขา กลับมาเดินเล่นในเมืองซาปา ซื้อของฝาก เก็บตก กลางคืนนั่งรถไฟกลับฮานอย
04/03/16 เดินเล่นในฮานอย ก่อนบินกลับกรุงเทพตอนสองทุ่ม
ว่าแล้วก็มาเริ่มเดินทางไปด้วยกันเลยค่ะ เนื่องจากตั้งแต่กลางเดือน กพ ปอต้องเดินทางไปนู่นนี่นั่นติดๆกัน เวียดนามคือทริปที่เดินทางต่อจากภูเก็ต ตอนนั้นคือจับทุกอย่างยัดใส่กระเป๋า ครั้งนี้เอากระเป๋าเป้ไปหนึ่งใบ กับ กระเป๋า Samsonite Tileum เห็นใบเล็กๆไซส์เคบินแบบนี้ ดีไซน์สวย น้ำหนักเบา แข็งแรงและจุมากค่ะ  เพียงพอสำหรับทริปหนึ่งสัปดาห์ของปอเลย ตอนนี้มีโปรโมชันนำกระเป๋าเก่าไปแลกเพื่อซื้อกระเป๋ารุ่นนี้ในราคาพิเศษอีกด้วย (โครงการ Trade in) โดยกระเป๋าเก่าที่เราเอาไปแลก ทาง Samsonite จะเอาไปสร้างศูนย์การเรียนรู้เคลื่อนที่ ได้สองต่อทั้งกระเป๋าใหม่แถมทำบุญแบบนี้ รีบจับจองนะคะ
พร้อมลุยแล้วค่ะ
สมาชิกครบก็ไปกันเลยยย
 
28/02/16
พวกเราใช้สายการบินนกแอร์ในการเดินทางครั้งนี้ค่ะ มากันตั้งแต่สามชั่วโมงก่อนบิน (มีสมาชิกบางคนมารอตั้งแต่ 11 โมง เพราะบินมาจากอีกจังหวัด) เลยไม่มีปัญหาเรื่องตกเครื่องกันแน่นอน 😀
เมื่อพร้อมแล้วพวกเราก็บอกลาประเทศไทย (ก่อนไปกินอาหารอีสานและข้าวผัดกะเพราตุนไว้เผื่อคิดถึงแล้ว ใช้เวลาราวๆ เกือบสองชัวโมง พวกเราก็มาถึงฮานอยแล้วค่ะ ตม. แทบจะไม่ถามอะไรเลย ผ่านง่ายสบายบรื๋ออยู่เวียดนามได้เดือนนึง แต่ทว่าเส้นทางที่เวียดนามของพวกเรามีอุปสรรคให้ฝ่าฟันกันตั้งแต่วันแรกที่มาถึง เพราะกระเป๋าของพี่คนนึงในทริป มีคนเวียดนามหยิบสลับไป วิ่งทำเอกสารกับเจ้าหน้าที่อยู่พักใหญ่สุดท้ายเราก็ต้องกลับไปคอยที่โรงแรม (ทางสนามบินช่วยเหลือดีมากๆ) รอลุ้นว่าพรุ่งนี้จะได้คืนมั้ย เรื่องของรถรับส่งต่างๆและรถไฟจากฮานอยไปซาปา ปอได้ติดต่อกับคุณ Houng ตั้งแต่ที่ไทย จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องถูกหลอกหรือโกงแบบที่หลายๆคนน่าจะเคยอ่านมาจากรีวิวเที่ยวเวียดนามหลายๆรีวิวค่ะ อยากบอกว่าถ้าไป 8 คนนี่สะดวกและราคาถูกมากค่ะ หารออกมาแล้วต่อคน พวกค่ารถจากสนามบินไปในเมือง ตกคนละ 3 $us เอง (ไปกลับ) คืนแรกก็ค่อนข้างเหนื่อยเพราะบินมาถึงสองทุ่ม แล้วกว่าจะถึงโรงแรมก็สี่ทุ่มกว่าก็เจอคุณเฮือง ชำระเงินค่าตั๋วค่ารถต่างๆ แล้วก็บอกเค้าเรื่องกระเป๋าหาย เค้าก็คอยช่วยตามเรื่องให้อีกทางค่ะ จบวันแบบแอบกังวลเรื่องกระเป๋า แล้วก็หวังว่าพรุ่งนี้จะได้คืน
ขอแชะภาพกับโรงแรมสักหน่อย
 
29/02/16
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยข่าวดีมากๆ ตอนที่ลงมากินอาหารเช้า คุณเฮืองไลน์มาบอกว่าเจอกระเป๋าเเล้ว คนเวียดนามกำลังจะเอามาคืน พวกเราดีใจมากๆค่ะ รอจนได้รับกระเป๋าทุกอย่างแฮปปี้ (ระหว่งนั้นก็ไปหาซื้อซิมเวียดนาม ได้มาที่ราคา 180,000 ดอง เพื่อใช้อินเตอร์เนตตลอดทริปนี้เผื่อหลงเผื่อหาทางกัน)
ซิมการ์ดที่ซื้อมาค่ะ
วันนี้พวกเราเลยเดินเที่ยวอย่างมีความสุข จริงๆแล้วฮานอยเป็นเมืองที่ไม่ได้มีที่เที่ยวเยอะค่ะที่สำคัญๆจะอยู่ใกล้ Old quarter (แหล่งที่พัก ร้านอาหาร ที่ช้อป จะกระจุกอยู่แถวนี้เยอะมากๆค่ะ) ระหว่างทางที่เดินไป มอเตอร์ไซด์เยอะมาก รถทุกคันบีบแตรกันชนิดที่ได้ยินตลอดทาง เหมือนเป็นกิมมิคขอเวียดนามจริงๆค่ะ
อีกอย่างที่เห็นตลอดคือ พ่อค้าแม่ค้า หาบเร่ หรือแม้แต่ปั่นจักรยานขายของ โดยจะมีเอกลักษณ์เป็นงอบของเวียดนาม
เราไปเริ่มต้นกันที่ทะเลสาบหว่านเกี๋ยม (Hoan Kiem lake) และวัดหงอกเซิน (Ngoc son temple) สามารถเดินข้ามสะพานแดงเพื่อไปที่วัดได้เลยค่ะ
ทะเลสาบหว่านเกี๋ยม
สะพานแดงที่ใช้เดินข้ามไปวัดหงอกเซิน
ทางเข้าวัด
บรรยากาศภายในวัด
       หลังจากนั้นก็ข้ามถนนมาซื้อตั๋วดูหุ่นกระบอกน้ำ (Water puppet) ค่าตั๋วคนละ 100,000 ดอง (วันนี้เหลืออยู่รอบเดียวคือรอบ 13.45 ไหนๆก็มาแล้วเลยจองไว้ดูเลยค่ะ)

 แล้วระหว่างรอก็ไปหาอาหารกลางวันกินกัน วันนี้ไปเจอร้านขาย Bun cha ที่คนแน่นร้านมากๆเลยตัดสินใจลองกินกันค่ะ Bun แปลว่าเส้นขนมจีน เค้าจะเสิร์ฟขนมจีน น้ำซุปที่มีหมูย่างและร้านนี้มีหมูก้อนปั้นด้วย มาเคียงกับผักมากมาย ร้านนี้ทำน้ำซุปหวานมาก และตอนมาเสิร์ฟก็ไม่ค่อยร้อน เลยต้องปรุงรสกันยกใหญ่กว่าจะอร่อยค่ะ มื้อนี้ก็หมดกันไปหลายแสนเลยค่ะ 55 ( การคำนวณเงินที่นี่แอบมึนค่ะ ปอจะตัด 0 สามตัวท้ายแล้วเอาจำนวณที่เหลือคูณกับ 1.5 แบบหยาบๆให้พอเหนราคาค่ะ เช่น Bun cha ราคาถ้วยละ 40,000 ดอง จะเท่ากับประมาณ 40*1.5 = 60 บาท) ก่อนจะกินอะไรถามราคาให้แน่ชัดก่อนนะคะ หรือไม่ก็กินร้านที่มีป้ายราคาแปะ จะได้ไม่โดนหลอกเนอะ

Bun cha

 

หลังจากมื้อกลางวัน พวกเราก็มาดูโชว์หุ่นกระบอกน้ำกัน โชว์ประมาณ 1 ช้่วโมงค่ะ โดยรวมสนุกและก็มีหลายชุด เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เพราะเป็นภาษาเวียดนามเเต่เค้าทำโชว์ได้ดีค่ะ ถือว่าเทียบกับราคาตั๋ว 160 บาทนี่คุ้มค่ะ
จบโชว์เราก็เดินทางกันต่อไปหาโบสถ์ฝรั่งเศส ระหว่างทางแวะช้อปกันบ้าง แวะกินกันบ้าง เจอร้านขายอาหารชนิดนึงคล้ายๆโจ๊ก มีปาท่องโก๋ ร้านพื้นบ้านมากๆค่ะ ที่เวียดนาม เค้าจะนั่งเก้าอี้แบบเก้าอี้ซักผ้ากินอาหารกัน (บางร้านก็ดูไม่ค่อยสะอาดเท่าไร เลือกดีๆก่อนกินนะคะ) ร้านนี้คิดราคาเรา 25,000 ดองต่อชาม แต่พอขายคนเวียดนามเค้าคิด 20,000 ดอง (สองมาตรฐานแบบนี้ เจอเกือบทุกร้านเลยค่ะ) มันน่าเจ็บใจยิ่งนัก ดีที่อร่อยเลยกินกันจนหมด
จากนั้นเดินไปอีกนิดก็เจอโบสถ์ St. Joseph แล้วค่ะ โบสถ์นี้สร้างโดยฝรั่งเศส
คุณพี่สามล้อเวียดนามก็เชิญชวนให้ขึ้นตลอดทาง
ทริปนี้พวกเราเดินกันมาราธอน แทบจะไม่ได้ใช้รถในการโดยสารในเมืองเลยค่ะ เป็นทีมที่เดินเก่งมากๆ ระหว่างทางก็แวะช้อปกันเพราะของที่นี่ถูก (แต่ต้องต่อราคาดีๆนะคะ เค้าบวกไว้เยอะเหมือนกัน) และก็เน้นกินค่ะ 55 มื้อเย็นเราจัดหนัก จัดชาบูบุฟเฟต์ตรงข้างโรงแรมเลยค่ะ คนละ 2แสนดอง (แลดูร่ำรวยมาก กินคนละเป็นแสน)
จัดหนักจัดเต็มก่อนเตรียมตัวขึ้นรถไฟ พวกเราเดินจากโรงแรมไปสถานีรถไฟเพราะไม่ไกลกันค่ะ คุณเฮืองและแฟนมารับและพาไปสถานีรถไฟ

นักเดินทางหลายคนอาจจะติดกับภาพของการใช้แบคแพคใบใหญ่ๆ แต่ปอเป็นคนที่แบกอะไรหนักๆไม่ได้นาน กระเป๋าเป้ที่จะแบกจริงๆคือแค่พวกกล้องถ่ายรูป เลนส์และของใช้นิดหน่อยค่ะ แล้วก็คิดว่าการใช้กระเป๋าลากสามารถจัดระเบียบของได้ง่ายกว่าการใช้เป้แบคแพคที่จะหยิบของที อาจจะต้องรื้อกันออกมาหมดเลยถ้าจัดไม่ดี การเดินทางส่วนใหญ่ของปอเลยใช้กระเป๋า spinner 4 ล้อค่ะ และเนื่องจากตัวเองเป็นคนที่เดินทางบ่อยมากกกก จะซื้อทั้งทีก็ของดีๆคุณภาพดีๆไปเลยดีกว่า เพราะช่วยให้เดินทางคล่องแคล่ว (เคยใช้กระเป๋าที่มีแค่สองล้อ ตอนวินาทีฉุกเฉินวิ่งไปขึ้นรถไฟมันช่างทรมานยิ่งนักค่ะ) คือ กระเป๋าดีมีชัยไปกว่าครึ่ง last minute แค่ไหนกระเป๋าก็พร้อมจะไปกับเราได้ทันท่วงที
อีกอย่างนึงที่เป็นคุณสมบัติพิเศษของกระเป๋า samsonite คือใช้ระบบล้อคู่ แม้พื้นจะขรุขระก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการลากกระเป๋าค่ะ

 (ความรู้ใหม่คือ ตั๋วรถไฟที่นี่จะออกวันต่อวัน ไม่มีออกล่วงหน้าค่ะ) รับตั๋วจากคุณเฮือง ไปหาขบวนและที่นอนของพวกเรา เราเดินทางกับรถไฟของ Tulico แบบนอนห้องละ 4 คนค่ะ สองห้องพอดีกับทีมเราพอดี มีน้ำให้คนละขวด มีฟูกนอน ผ้าห่มหมอน โดยรวมค่อนข้างโอเคเลยค่ะ ห้องน้ำก็เป็นแบบชักโครกแบบเซนเซอร์แล้วน้ำที่ก๊อกน้ำก็แรงดีเลย (ประทับใจมากกว่ารถไฟทรานไซบีเรียในส่วนนี้) แต่ข้อเสียคือ ทางเดินข้างนอกแคบมากกกก และรถไฟโคลงเคลงมาก ถ้าไม่เหนื่อยอาจจะนอนไม่หลับ พวกเราเจอฝรั่งเยอรมันคนนึงเข้ามาคุยด้วยเพราะเค้ามาเที่ยวคนเดียว คุยเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางกันสนุกสนานเฮฮา สักพักก็แยกย้ายกันเข้านอนค่ะ รถไฟออก 22.00 ถึงซาปาเวลา 06.20 ของวันรุ่งขึ้นค่ะ โดยตอน 06.00 จะมีพนักงานมาเดินปลุกและถามว่าจะเอาชากาแฟมั้ย อ้อ อย่าลืมล็อคห้องดีๆตอนนอนนะคะ เพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สิน (พวกเรารอดปลอดภัยมาได้ ไม่มีใครของหาย)
01/03/16 
 
พวกเราถึงสถานีรถไฟ Lao cai เวลาเช้ามืด มีคนมารอรับเพื่อขึ้นเขาไปในตัวเมืองซาปา รถพาเราไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ บาคนถึงกำลังวิงเวียนอาเจียน จนราวๆ หนึ่งชัวโมงก็ถึงโรงแรม Sapa paradise view ค่ะ เก็บของและอาบน้ำกันพักผ่อนนิดหน่อย พวกเราก็ลงไปกินอาหารเช้าของโรงแรมค่ะ (วันนี้ต้องจ่ายเองเพราะมาถึงก่อนเวลาพักค่ะ 100,000 ดอง เป็นแบบบุฟเฟต์ อิ่มอร่อยมาก) หลังจากนั้นก็ออกไปเดินกันค่ะ  วิาทีแรกที่ได้สัมผัส ซาปา เป็นเมืองที่พิเศษ และสวยมากๆค่ะ โดยเฉพาะนาขั้นบันได
ลานใหญ่กลางเมือง
ม้งและชาวเขาเผ่าอื่นๆเดินในซาปาเป็นเรื่องปกติ
 พวกเราจะไปหมูบ้านที่ใกล้ที่สุด ห่างจากซาปาประมาณ 2 กม เดินตามป้ายไปหาไม่ยากค่ะ ชื่อหมู่บ้าน Catcat
พอไปถึงก็ต้องซื้อบัตรหน้าหมู่บ้านก่อนค่ะ ค่าเข้า 50,000 ดอง หลังจากนั้นเค้าก็จะให้แผนที่ พวกเราก็เดินตามทางไปเรื่อยๆค่ะ ตลอดสองข้างทางจะมีร้านขายของฝากเต็มไปหมด สายช้อปในทีมเลยได้ของมาเยอะแยะเลย
พวกเราเดินเล่นไปถ่ายรูปไปเพลินๆ ไฮไลต์ของหมู่บ้านนี้คงเป็นน้ำตกที่สวยงามค่ะ
น้าตกของหมู่บ้าน Catcat
พอพวกเราเดินไปจนจะถึงทางออกจะมีคนมาดักถามว่าขึ้นมอเตอร์ไซด์รับจ้างกลับไปซาปาไหม 5 กม เดินกลับไกลนะ บลาๆ คนละ 50 บาทเอง แต่ด้วยความสตรองของพวกเราก็เซย์โนกันแล้วเดินกลับ เค้าก็ขับตามมาตื๊อค่ะ ลดราคาสุดฤทธิ์ แต่ก็ไม่ได้แอ้มเงินพวกเรา 55 เดินกลับกันท่ามกลางแดดร้อนๆแล้วความพีคคือไปเจอเด็กเวียดนามคนนึงเดินขึ้นเขาไปลักษณะคล้ายทางลัด พวกเราเลยอยากเดินตามมั่ง สรุปทางลัดนี่ปีนขึ้นเขาแบบชันมากกก  กว่าจะเห็นว่าทางเดินชันก็เดินขึ้นมาเกินครึ่งแล้ว เอาไงเอากัน สรุปขึ้นมาได้กันทุกคน 555 ขอบอกว่าทีมพวกเราสตรองมากจริงๆ
ทางลัดหฤโหด
ขึ้นกันมาได้เนอะ 555
วันนี้มื้อเย็นก็ฝากท้องกับห้องอาหารของโรงแรมค่ะ เพราะใน tripadvisor บอกว่าที่นี่ดีที่สุดในซาปาก็เลยลองซักหน่อย แล้วก็ดีจริงๆ 😀 หัวหน้าห้องอาหารแอบแซวว่านี่เป็นดินเนอร์งานวันสตรีหรอ มีหญิงล้วน 8 คนบนโต๊ะ ฮ่าๆ แล้วก็หมดไปอีกวันที่สนุกและใช้พลังงานเต็มที่ แต่ของจริงยังไม่ได้เริ่มต้นค่ะ เพราะพวกเราจะไป trekking 15 กม กันพรุ่งนี้ วันนี้เลยต้องนอนเอาเเรงกันหน่อย
02/03/16
ตื่นเเต่เช้ามากินอาหารบุฟเฟต์ของโรงแรมค่ะ ไฮไลต์ที่ทุกคนแย่งกันคือน้ำส้มคั้นสด ที่พนักงานคั้นกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อโต๊ะของทีมปอ 555 เอาเหยือกมาวางไม่ถึงห้านาทีน้ำส้มหมด ต้องไปคั้นกันใหม่อีก (เค้าคงแอบบ่นในใจ) แล้วก็เติมพลังกันเต็มที่ ถึงเวลานัด 9 โมง ไกด์ม้งมารอพวกเราที่ล้อบบี้ ไกด์ที่จะนำทางพวกเราวันนี้ชื่อปังค่ะ พูดอังกฤษเก่งมากๆ เริ่มพาพวกเราเดินจากโรงแรม
ไกด์มาอธิบายเส้นทางสำหรับวันนี้
เดินตามทางไปเรื่อยๆ วิวสวยตลอดทางเลยค่ะ นี่ขนาดยังไม่ถึงหน้านาข้าว (ท่าทางต้องกลับมาอีกช่วงข้าวเป็นสีเขียว สีเหลือง ไกด์บอกว่าเป็นช่วง กค สค ค่ะที่จะสวยที่สุด)
วันนี้ตลอดเส้นทางการ trekking มีโอกาสพูดคุยกับม้งหลายคนแบบใกล้ชิด ชาวเขาที่ซาปามีหลายเผ่าแต่ที่เห็นได้เยอะๆในเมืองคือ ม้งดำ (เค้าบอกว่าดูจากสีชุดหรือเครื่องแต่งกายได้)
ขณะที่ไกด์ม้งกำลังนำทางพวกเราไปสู่หมู่บ้านแรกก็มีม้งผู้หญิง 7 คนได้ กำลังเดินกลับบ้าน เลยเดินมากับพวกเราจนถึงตอนพักกินอาหารกลางวัน (ตอนแรกแอบไม่กล้าคุยเพราะกลัวมาเสนอขายของ -เจอเยอะมากจริงๆแถมตื๊อสุดๆด้วย) เดินไปสักพักไม่มีการชักสินค้ามาโฆษณา ปอจึงเริ่มบทสนทนาพูดคุยกับม้งกลุ่มนี้ (ความประทับใจแรกคือ เกือบทุกคนสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี ชนิดที่ว่าปอรู้สึกอายเลยทีเดียว)
คำถามแรกสุดฮิตที่โดนม้งถามคือ
ม้ง: how old are you?
(เธออายุเท่าไร)
อันนี้ธรรมดาพอเข้าใจได้ แต่คำถามเซทถัดมา จี้จุดมาก
ม้ง: where is your husband?
(สามีเธอล่ะ ไม่มาเที่ยวด้วยหรอ?)
ปอได้แต่หัวเราะแล้วก็บอกไปว่ายังไม่มีจ้ะ เค้ารีบตอบกลับมา “ดีแล้ว เธอต้องหาสามีดีๆ แล้วค่อยมีลูกนะ”
ถามไปมา เค้าบอกว่าประเพณีของม้งคือแต่งงานกันเร็วมาก ตั้งแต่ 15-16 เลยทีเดียว (มิน่าล่ะ ถามหาสามีใหญ่เลย) จะมีตลาดกลางคืนเฉพาะวันเสาร์ ที่วัยรุ่นไปหาแฟนกัน บางคู่เจอกันคืนเดียวแต่งงานกันเลยก็มี (ลืมถามพิกัดเผื่อคราวหน้าได้ไปสังเกตการณ์ 555)
ม้งค่อนข้างนิยมมีลูก
น้องเชาขวัญใจตลอดการเดินทางของพวกเรา
บางครอบครัวมีลูกเป็นสิบคนก็มี โดยเมื่อแต่งงานแล้วผู้หญิงจะไม่เปลี่ยนนามสกุล ส่วนลูกใช้นามสกุลของพ่อ ชื่อลูกได้มาจาก ย่าหรือยายเป็นคนตั้ง ส่วนใหญ่เท่าที่ถามมาเป็นพยางค์เดียว เช่น ซู ซอ ปัง เป็นต้น ผู้หญิงม้งที่เจอส่วนใหญ่ก็จะเลี้ยงลูกแล้วก็ขายของในเมืองซาปา ผู้ชายแทบไม่เห็นสักคน ปอถามเค้ามาว่าไปไหนกัน เค้าตอบว่า เลี้ยงควายบ้าง หาของในป่า หาฟืนบ้าง เป็นต้น ม้งเดินกันอึดมาก บางคนเดินจากหมู่บ้านในเขา 7 กิโล มาตัวเมืองซาปาบ่อยๆ (ยอมใจจริงๆ) หลายคนน่ารักนิสัยดี แต่ติดที่การท่องเที่ยวที่แพร่หลายเข้าไปในหลายหมู่บ้าน ทำให้ม้งเรียนรู้การขายของแบบแพงแสนแพงและตื๊อสุดๆกับนักท่องเที่ยว 😁 ใจต้องแข็งพอถ้าจะไม่ซื้อ หรือถ้าต่อก็วัดใจต่อราคาไปเยอะๆก่อน (เค้าบวกไว้เยอะมากจริงๆ)
มาดูภาพสวยๆของการ trekking วันนี้ค่ะ เดินไปเรื่อย ถ่ายรูปไปเรื่อย เพลิดเพลินมากๆ
ไกด์บอกว่านาทั้งหมดใช้ฝีมือคนทำหมดเลยค่ะ ตัดขอบจะคมกริบมากกก
จุดพักทานอาหารกลางวันค่ะ ปรุงโดยม้ง รสชาติใช้ได้เลยค่ะ
สิ่งที่ชอบและประทับใจ คือวิถีชีวิตที่ยังคงรักษาแบบเดิมๆไว้ค่ะ แต่ชาวเขาบางเผ่าที่หมู่บ้านมีถนนตัดผ่านเข้ามา ความเจริญก็มากขึ้น ทำให้ไม่ได้เห็นวิถีชีวิตเดิมๆเท่าไรนัก ในความคิดปอก็ยังอยากให้เค้าคงวิถีชีวิตแบบเก่าไว้ เพราะมีเสน่ห์และน่ารักมากๆค่ะ
ส่วนสิ่งที่ยอมใจ คือ การขับมอเตอร์ไซด์ของคนที่นี่ค่ะ วิบากแค่ไหนก็ไม่สะท้าน ไปได้หมดทุกหย่อมหญ้า
สุดปลายทางที่หมู่บ้าน Tavan แวะช้อปและถ่ายรูปกันสักพัก
ก่อนกลับก็เจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อพวกเราเจอคุณยายม้งสติไม่ค่อยดีค่ะ เค้าวิ่งมาเกาะแขนคนนทริปไม่ปล่อยเลย ไกด์ช่วยไล่แกก็ไม่ไป จะขอแต่เงิน หรือให้ซื้อของ แต่พวกเราไม่ได้ให้ค่ะ โชคดีที่รถมารับพอดี พวกเราเลยสลัดหลุดไปได้ เป็นการเดินทางที่เหนื่อยไม่พอยังจะระทึกอะไรขนาดนี้อีก 555 จบวันแบบขำๆกันไปค่ะ
คุณยายม้งสติไม่ดี
03/03/16
วันนี้ตื่นเช้ามาด้วยความปวดเมื่อย ขาร้าว เพราะเดินเยอะมากๆทั้งสามวันที่ผ่านมา 555 รวมกันน่าจะ 30 กิโลได้ เปิดหน้าต่างออกไปหมอกเต็มเลยค่ะ จากฟ้าใสแดดออกสองวันที่ผ่านมา วันนี้ไม่มีวี่แววเลย พวกเราเลยกินอาหารเช้าแล้วใช้ชีวิตสโลไลฟ์กันจน 11 โมง ถึงออกไปขึ้นกระเช้าไปเขา Fansipan ที่เพิ่งเปิดใหม่สดๆ เมื่อต้นเดือน กพ 2016 ที่ผ่านมา ค่าขึ้นกระเช้า 600,000 ดองค่ะ เท่าที่เคยขึ้นกระเช้ามา อันนี้เป็นหนึ่งอันที่ประทับใจมากๆเพราะคุ้มค่าบัตรมากก ไปสูงและไกลมาก55
บัตรนี้ใช้ไป – กลับ ภายในวันเดียวกัน รอบไหนก็ได้ค่ะ
ทีมพร้อม กายพร้อม ใจพร้อม
ไปค่ะ
ข้ามเขาไปอีกลูกแล้ว
ถึงสถานี Fansipan แล้ววว
แล้วก็เดินกันเพื่อไปให้ถึงยอดเขาค่ะ หมอกเยอะมากกก
นี่คือทางเดินขึ้นไป หมอกมาเต็มจริงๆ
ช่วงที่ประทับใจที่สุดคงเป็นตอนที่ผ่านวิวนาขั้นบันไดเพราะสวยมากๆ ..ไม่แน่ใจว่าผ่านเขากี่เขาแต่นั่งไปลุ้นกันไปว่าจะถึงตอนไหน ตื่นเต้นสุดคงเป็นตอนไปเกือบถึงฝั่ง Fansipan เพราะ กระเช้าลอยเข้าไปในดงหมอกล้วนๆเลยค่ะ ใครไปซาปาอย่าลืมใส่ในโปรแกรมด้วยนะคะ สวยคุ้มแน่นอน (จากตัวเมืองนั่งแทกซี่ไปได้ ราวๆ20นาที พอไปถึงฝั่ง fansipan. เดินขึ้นเขาอีกราวๆ 40 นาที) พอไปถึงยอดก็แสนจะภูมิใจว่าเราฝ่าดงหมอกกันมาจนถึงยอดที่ความสูง 3143 m ท่ามกลางอุณหภูมิ 8 องศา แต่แต่งตัวมาแบบชิวมาก ไม่พร้อม ลงมาหัวเปียกเลยค่ะ 555 สนุกและวัดใจมากๆ อยากให้มาลองกันจริงๆ
ผู้พิชิตตต
 แล้วพวกเราก็กลับมาในเมืองเดินเล่น เตรียมรอคนมารับไปสถานีรถไฟตอน 5 โมงเย็นค่ะ โรงแรมน่ารักมากๆ เปิดห้องให้อาบน้ำแถมทำแซนวิชให้ทุกคนอีกด้วย
ถ่ายรูปกับแซนวิชส่งไปให้ รร เป็นที่ระทึกค่ะ 555
ใครมาซาปาแนะนำโรงแรมนี้เลย พนักงานน่ารักมากจริงๆ แล้วพวกเราก็ขึ้นรถไฟรอบสามทุ่มกลับฮานอย ไปถึงตอนตีห้ากว่าๆของอีกวันค่ะ
04/03/16

 

พวกเราเดินทางมาถึงฮานอยโดยสวัสดิภาพ โดยวันนี้เป็นวันว่าง ฟรีของพวกเราก่อนจะบินกลับ คุณเฮืองให้เอาของมาไว้ที่ร้านอาหารของพี่ชายได้ พวกเราได้อาบน้ำกันแล้วออกมากินอาหารเช้า เป็นร้านเฝอที่ดูท่าจะฮิตมากๆเพราะคนนั่งกินกันเยอะมากกกก
งานเฝอต้องมา
เสร็จแล้วสายช้อปก็ทำการช้อปกันต่อ ส่วนปอและพี่ๆบางส่วนไปเดินเที่ยวที่สุสานลุงโฮพร้อมกับช้อปเล็กน้อยค่ะ

 

เผลอแวบเดียว หมดวัน ต้องถึงเวลาบอกลาเวียดนามแล้วค่ะ พวกเราสนุกมาก ฮามากกับทริปนี้ กิน เที่ยว ช้อป เม้ามอย เดินมาราธอนกัน ดีใจมากๆที่จัดทริปนี้ขึ้นมาเพราะได้มิตรภาพดีๆกลับบ้านเป็นของแถมไปด้วย รับรองว่าถ้ามีโอกาสจะจัดทริปสนุกๆแบบนี้อีกแน่นอนค่าาา

 

บ๋ายบายเวียดนาม แล้วจะมาใหม่นะ

You Might Also Like