ผู้หญิงคนเดียวในเมืองที่ติดอันดับอาชญากรรรมสูงสุดต้นๆของโลก
* ที่โจเบิร์คนี่รูปจะไม่มากนะคะ คือแค่เดินเฉยๆก็น่ากลัวมากแล้ว กล้องเกลิ้งไม่กล้าหยิบขึ้นมาเท่าไรเลยจริงๆ
สิ่งนี้เป็นอะไรที่ท้าทายที่สุดในชีวิตเท่าที่ได้ลองมา พูดถึงโจฮันเนสเบิร์คหรือโจเบิร์ค หลายคนคงส่ายหัวว่าไม่น่ามาเที่ยวสุดๆ เพราะข่าวชอบลงว่ามีอัตราอาชญากรรมสูงติดอันดับต้นๆของโลก ส่วนตัวก็หวั่นใจเหมือนกัน เพราะตั้งแต่นั่งรถออกมาจากสนามบิน บ้านทุกหลังที่เจอจะมีรั้วลวดหนามและสิ่งป้องกันเยอะมาก (รู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยแม้กระทั่งคนบ้านเค้าเอง) ครั้งนี้เลยติดต่อทาง lodge ให้เค้ามารับที่สนามบินด้วย (อย่างน้อยก็อุ่นใจว่าไม่ต้องไปผจญภัยแบบน่ากลัวมาก) ก่อนจะเจอคนขับรถ เลยมุ่งหน้าไปที่บริษัทตามเรื่องกระเป๋า เจอ Renaldo เค้าก้ทำหน้าดีใจที่เจอเราจนเราเหวี่ยงไม่ลง เราเล่าให้เค้าฟังว่ายังไม่ได้กระเป๋า เค้าเลยตกใจมาก เพราะเค้าบอกว่า เพื่อนร่วมงานเค้าที่ชื่อเจมส์เป็นคนทำเคสเราต่อจากเค้า และบอกว่าเราได้กระเป๋าเเล้ว เลยไปเชคและสืบประวัติในห้องเก็บกระเป๋า สายตาเราเหลือบไปเห็นกระเป๋าของเรา!!! ตอนนั้นที่เกือบสิ้นหวัง เลยขอเค้าไปดูในห้อง ตกใจมากที่ใช่ของเราจริงๆ ดีใจมากเพราะตลอดทริปที่เหลือเราจะมีของใช้แล้ว (เพราะเเพลนว่าจะไปต่ออีกหลายประเทศ) เค้าก็พาเรามาตามหาคนขับรถ ช่วยโทรหา จนทุกอย่างเรียบร้อย เราขึ้นรถแล้วบอกลาเค้า บนรถมีผู้หญิงแคนาดาคนนึงเป็นช่างกล้องมืออาชีพที่ตามถ่ายภาพพวกสัตว์ตามซาฟารี เค้าเตือนเราเยอะมาก เรื่องที่นี่อันตรายมากแค่ไหน บอกว่าอย่าเดินคนเดียวเด็ดขาด ที่นี่น่ากลัวมาก อย่า make friend แล้วเค้าก็ลงที่พักที่ไกล้สนามบินมากกว่าเรา ทำให้ในรถเหลือเเค่เรากับคนขับ ตอนนั้นกลัวมากๆ กลัวคนขับขับออกนอกเส้นทาง หรือมีเหตุร้ายกับตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไปถึงที่ lodge อย่างปลอดภัย เจ้าของน่ารักมาก ชื่อคุณ Mark เลี้ยงหมาตัวใหญ่ 2 ตัว ชื่อ จอร์ช กับ แจ๊บบี้ พามารับเราอย่างอบอุ่น เปิดไปเจอห้องแบบว่าคุ้มค่ามาก 1,200 บาทต่อคืน แต่ห้องใหญ่มากๆ ในที่พักก็มีเชฟทำอาหารให้ (อร่อยด้วย) เป็นคืนที่นอนอยู่ในโจเบิร์คแบบมีความสุขมาก เตรียมแพคของเพราะวันรุ่งขึ้นจะไปซาฟารีที่ Kruger National Park (เราจองทัวร์ซาฟารีมา ราคา 4 วัน 3 คืน ราวๆ 18,000 บาท) ซึ่งนี่คือเหตุผลหลักที่ตั้งใจมาแอฟริกาใต้ รู้ึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเลย
ระหว่างทางก็กวาดสายตาสำรวจบ้านเมืองที่โจเบิร์ค รู้สึกน่ากลัวจริงๆ บรรยากาศอึมครึม มีคน homeless เยอะเดินตามถนน เก็บขยะมากินบ้าง บางคนก็ดูน่ากลัวมาก คนขับไปรับคนเพิ่มเรื่อยๆที่ไปทัวร์ซาฟารีด้วยกัน ในรถมีคุณป้าสวิสเซอร์แลนด์ เป็นนางพยาบาลอาสาสมัครที่ประเทศเคนยามา 6 เดือน พอหมดวาระเลยมาแอฟริกาใต้เพื่อเที่ยวก่อนกลับประเทศ, มีคู่รักวัยรุ่นชาวดัตช์ (ผู้ชายหล่อมากกกกก สูงหล่อหน้าเป๊ะ, ผู้หญิงก็น่ารักเฟรนลี่) และมีครอบครัวคนอเมริกันอยู่ในรถคันเดียวกับปอ มีจอดแวะที่จุดพักรถ 1 รอบ ให้ไปเข้าห้องน้ำ กินกาแฟ (ตรงนั้นมีคอกควายป่ากับแรดด้วย 55 ยังไม่ถึงซาฟารีก็ได้เห็น big5 แล้ว) big 5 คือสัตว์5 ชนิดที่คนคาดหวังจะมาเห็นที่ซาฟารี เปรียบเสมือนไฮไลต์ของสัตว์ทั้งปวงในแอฟริกา ประกอบไปด้วย … จากจุดพักรถที่ 1 เรานั่งรถต่อไปอีกราว 2 ชั่วโมง แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อยู่ดีๆคนขับก็พยายามประคองรถ ทุกคนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น สรุปคือเบรคมีปัญหา โชคกีที่ห่างจากจุดพักรถที่ 2 เพียงแค่ 500 เมตร ทุกคนปลอดภัย ลงไปทานอาหารกลางวัน ร้านที่เค้าพาไปอาหารอร่อยและให้เยอะมาก พวกเราทานอาหารเสร็จแต่ต้องนั่งรอคนขับซ่อมรถกว่า 2 ชั่วโมง ซึ่งทำให้ไปกิจกรรมล่าช้าจากเวลาเดิมคือ 5 โมงเย็น เป็น 2 ทุ่ม คืนแรกเราได้นอนใน lodge ห้องดีมากเลย มีทุกอย่างครบ พอถึงที่พัก เราเอาของมาเก็บแล้วขึ้นรถสำหรับส่องสัตว์ตอนกลางคืน ( ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว ท้องฟ้ามืดค่อนข้างเร็ว) บริเวณด้านหลังของ lodge เป็นพื้นที่สงวน มีสัตว์อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ โดยพวกเราจะนั่งรถเข้าไปตามทางในป่า คนขับจะส่องไฟหาสัตว์แล้วบอกคนข้างหลังรถ คนขับบอกว่าถ้าเจอสัตว์จะเข้ามาทำร้ายให้อยู่เฉยๆ อย่าทำเป็นกลัว แล้วเค้าจะช่วยเอง (มีปืนสำหรับกรณีฉุกเฉิน) ตั้งแต่ขับรถเข้าไปรู้สึกตื่นตาตื่นใจ อารมณ์เหมือนเราเข้าป่าไปสำรวจสัตว์ตอนกลางคืน แม้ว่าจะเจอแค่เจอฝูงควายป่า, กวาง
เวลาล่วงเลยไปราว 45 นาที ด้วยอากาศที่ค่อนข้างหนาว และเวลาตอนนั้นเกือบ 3 ทุ่ม ทุกคนหิวมาก เพราะยังไม่ได้กินอะไรตอนเย็นเลย คนขับพาเข้าไปจอดในบริเวณ camp เล็กๆ มีคนเตรียมอาหารค่ำไว้แล้ว เป็นอาหารพื้นเมืองของแอฟริกัน วันนั้นมีไก่ย่าง มันเผา ธัญพืชที่คล้ายๆข้าวบด และผัก พวกเรา enjoy อาหารค่ำมาก ไม่รู้ว่าหิวมากหรืออร่อย 55 คนขับบอกว่ามื้อนี้เป็นอาหาร million stars (มากกว่า 5 ดาว) เพราะดาวบนท้องฟ้ามีเป็นล้านดวง หลังจากอาหารค่ำ ก็เดินทางกลับโดนส่องสัตว์เหมือนเดิม ที่เราได้เห็นเพิ่ม คือ ฝูงกวางอีกตระกูลหนึ่ง (รู้สึกทึ่งคนขับมาก เค้าตาไวมาก ที่มีในมือคือแค่ไฟฉายกระบอกเดียว แต่สอดส่องเก่งระดับเทพ พอมีสัตว์เคลื่อนที่ระยะห่างจากรถพอควร หรือเจอรอยเท้าสัตว์ เค้าจะดับเครื่องและส่องดูว่าเป็นรอยเท้าตัวอะไร แถมบอกได้ด้วยว่าสัตว์ตัวนั้นเคลื่อนไปทางไหน) พอถึงที่พักก็หลับสนิทเลยเพราะเดินทางมาทั้งวันเหนื่อยมาก และพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าเพื่อเข้าไปส่องสัตว์ที่ kruger national park
ประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม
ตื่นนอนราวๆ 7 โมงเช้าเก็บของ เพราะคืนนี้ได้ย้ายไปนอนบ้านบนต้นไม้! ไปกินอาหารเช้าของที่ lodge แล้วไกด์ก็พาเราทุกคนขึ้นรถส่องสัตว์ ขับรถไปครึ่งทางเพื่อไปรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ได้คุยกันพอประมาณระหว่างทาง แล้วสาวสวยคนนึงบนรถก็พูดออกมาว่า รถเรานี่มหัศจรรย์มาก (มี 12 คน) พวกเรามาจากแต่ละทวีปบนโลกเลย มีมาจากประเทศออสเตรเลีย แคนาดา บราซิล เคนยา ไทย สวิสเซอร์แลนด์ อังกฤษ มาเจอกันบนรถคันนี้ พอเริ่มเข้าเขตอุทยาน คนขับต้องแลกบัตรเเละจ่ายเงิน ปอรู้สึกตื่นเต้นมาก คาดหวังว่าจะได้เจอสัตว์เยอะๆ แอบมโนภาพใน national geographic ไว้ 55 ตั้งแต่ตอนคนขับจอดรถหน้าประตู
มีพนักงานมาให้บัตร เค้าตะโกนบอกพวกเราว่ามองออกไปตรงต้นไม้ที่ไกลลิบๆ (แต่พอมองเห็นด้วยตาเปล่า) เห็นสิงโตกำลังเดินไปเดินมาอยู่ (ถ่ายไว้ไม่ทัน)
แต่พอขับรถเข้าไปอุทยานก็ตื่นตะลึงกับภาพนี้ เหมือนพี่สิงโตจะอยากเข้ากล้อง มาเต็มเลย ><
อ้อ ใครมาซาฟารีแนะนำเอากล้องส่องทางไกลหรือเลนส์ซูมมาด้วยจะฟินมาก พวกเราทั้งคันรถรู้สึกมีความหวังว่าวันนี้จะได้เจอสัตว์เยอะคุ้มค่าแน่นอน (คนขับบอกว่าบางกลุ่มที่มาโชคดีเจอสัตว์เยอะ บางกลุ่มโชคร้ายก็ไม่ค่อยเจออะไรเลย ) เค้าบอกให้ช่วยสอดส่อง ใครเห็นอะไรก็ตะโกนบอกคนขับ เค้าจะชะลอรถให้ถ่ายรูป บรรยากาศข้างในเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา คือหญ้าเตี้ยๆ ตอนหน้าหนาวก็จะแห้งแล้งหน่อย
หน้าหนาวเป็นฤดูกาลที่ดีที่เหมาะแก่การมาเที่ยวซาฟารี เพราะอากาศจะเย็นสบาย มาหน้าร้อนอาจเผาไหม้ได้ – ตั้งแต่เข้าไปพวกเราเจอสัตว์เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น นกสวยงาม นกกระจอกเทศ kudu กวาง ช้างป่าแอฟริกัน ฮิปโป รุมบ้า ม้าลาย สิงโต ลิง ยีราฟ ก่อนมาคิดว่าการมาซาฟารีนี่มันแพ้งแพง แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่ามันคุ้มแค่ไหน มาไล่ดูกันตัวอะไรบ้าง เวลาอยู่ในซาฟารีจะน่ารักแค่ไหน
ตัวแรก พูมบ้าาาาาา
โชคดีมากๆ เจอฝูงความป่ากำลังเดินไปที่ไหนสักที่
ตระกูลกวางเป็นสัตว์ที่ได้เจอเยอะที่สุดในซาฟารีวันนี้
มาโชว์ตัวกันอย่างพร้อมเพรียง หลายสายพันธุ์
และเจ้าตัวตราบาปของปอก็โผล่หน้ามาให้รู้สึกผิดที่กินเพื่อนพ้องของมันไป แม้จะอร่อยมากก็ตาม แฮ่ๆ (ใครไม่รู้ลองอ่านรีวิวเคปทาวน์นะ)
มาเจอคุณฮิปโปนอนผึ่งแดด น่ารักเชียว
ฤานี่จะเป็นที่มาของคำว่า “ทางม้าลาย”
ช้างแอฟริกัน ตัวใหญ่สมชื่อจริงๆ
ยีราฟก็น่ารัก โอ้ยยยย
นกสวยๆก็มีนะ
มันต่างจากการไปสวนสัตว์แล้วไปเห็นสัตว์อยู่ในกรง อันนี้ต้องขับรถส่อง หาไปเรื่อยๆแล้วแต่ดวง แถมสัตว์อยู่ตามธรรมชาติด้วย เผลอแปบเดียวก็เริ่มเย็นแล้ว ได้ดูพระอาทิตย์ตกดินใน kruger นี่สวยอย่าบอกใคร
จบกิจกรรมไปอีกวันนึง คืนนี้ได้ไปนอนบนบ้านต้นไม้ คือเหมือนในหนังเลย
แบบที่เด็กๆหลายคนใฝ่ฝัน สัมผัสได้ถึงธรรมชาติสุดๆ มีเสียงแม้น้ำที่ไหลผ่านแถวนั้น แถมเจ้าของมาเตือนว่าปิดหน้าต่างให้สนิท ระวังลิงเข้ามา 55 แต่สุดท้ายไม่เกิดอะไรน่ากลัวนะ รอดออกมาได้ ลืมเล่าเรื่องห้องน้ำวาบหวิวสุดๆ ต้องลงมาด้านล่างและ ไม่มีประตูค่า เป็นทางเข้าที่ทำจากฟาง มีโซนอาบน้ำ อยู่ข้างในตรงกลาง มีคนที่มาพักคนนึงบอกเค้าเห็นยีราฟตอนอาบน้ำด้วย 55 สนุกดีสำหรับประสบการณ์ที่แปลกใหม่แบบนี้ ตอนเช้าเค้าจะพาไป bush walk เป็นกิจกรรมส่องสัตว์แต่เราเดินเท้าตามไกด์นายพรานที่ถือปืนได้น่ากลัวมาก เค้าให้เดินเป็นแถวเรียงหนึ่งตามกัน เพราะถ้าอยู่กระจัดกระจายจะดูคล้ายฝูงสัตว์ เดินตามล่าหาข้อมูลจากกองมูลสัตว์บ้าง รอยเท้าบ้าง เจอขนเม่น, รอยเท้าฝูงควาย แล้วเราก็เห็นฝูงควายระยะที่ใกล้และแอบน่ากลัวมาก เพราะจ่าฝูงมองมาทางพวกเราแถมเขม่นด้วย คิดว่าถ้ามันวิ่งมาขวิดพวกเราคงสยองน่าดู บรื๋ออ แล้วก็ระหว่างทางกลับเจอฝูงกวางวิ่งเข้ามาใกล้ทางที่เราเดินมาก ตื่นเต้นดี เป็นการจบประสบการณ์ซาฟารีในแอฟริกาใต้แบบประทับใจสุดๆ ขอบอกลาซาฟารีด้วยรูปม้าลายกอดกัน
โจฮันเนสเบิร์ค
พอกลับมาถึงโจเบิร์ค เลือกพักที่เดิมเพราะไม่ไกลสนามบินและปลอดภัยดี พรุ่งนี้ซื้อทัวร์ไปในเมืองโจเบิร์คและ Soweto (ซึ่งที่ย่านนี้เป็นบริเวณที่เป็นที่ตั้งของบ้านเนลสัน แมนเดลล่า) ที่เลือกไปทัวร์เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่าอันตราย มีแต่คนบอกว่าอย่าเดินคนเดียวที่นี่ ให้ไปกับคนท้องที่หรือไกด์เพราะเค้ารู้แหล่งและช่องทางที่ไม่อันตรายเวลาไปเที่ยว ค่าทัวร์สองอย่างนี้ได้มาในราคา 2100 บาท มีคนขับและไกด์ให้ ในโจเบิร์คอย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้สภาพดูอันตรายมาก มีคนเร่ร่อนเยอะ
ได้มีโอกาสไปตึกที่เป็นจุดชมวิวทั้งเมืองโจเบิร์ค เห็นจุดสำคัญๆทั้งหมดในเมือง
และหลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่ Soweto เป็นย่านอีกย่านหนึ่งที่มีความสำคัญหลายอย่าง มีบ้านที่เป็นสวัสดิการให้กับคนไร้บ้านอยู่ โดยสามารถอยู่ได้ฟรี มีน้ำประปา แต่ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ (ไกด์บอกข้างในมีมาเฟียคุมคนที่เข้าไปอยู่ด้วย คือต้องจ่ายค่าตอบแทนให้เค้าเล็กน้อยเพื่อที่จะเข้าไปอยู่อาศัย) แล้วเราก็ไปชมบ้านของอดีตประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดลล่า ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีประวัติและเรื่องราวเกี่ยวกับรางวัลโนเบลที่เค้าได้รับด้วย มาถึง Soweto ต้องถ่ายรูปสัญลักษณ์ของที่นี่ซะหน่อย
และแล้วก็มีเวลาได้เดินดูของฝากเล็กๆน้อยๆ พร้อมกับซึมซับบรรยากาศก่อนจะจากแอฟริกาใต้ไป
โดยรวมรู้สึกไม่ผิดหวังจริงๆที่เลือกมาแอฟริกาใต้ ก่อนมาคาดหวังมาน้อย มีแต่คนบอกว่า อย่าไป เป็นผู้หญิงคนเดียวเที่ยวแบบนี้มันอันตราย แต่พอมาเห็นของจริงมันทึ่งมันน่าประทับใจไปหมด คุ้มกับเงินทุกบาทที่เสียไป และเป็นประสบการณ์ที่สุดแสนจะแปลกใหม่หาที่ไหนไม่ได้อีก นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกไปเผชิญกับเมืองที่ไม่คิดว่าจะเอาตัวรอดได้ มีโอกาสรับรองกลับไปอีกแน่นอน