สวัสดีค่า ห่างหายจากการทำรีวิวไปพักใหญ่ๆ วันนี้มีประเทศแปลกๆมาให้ชมอีกแล้วค่ะ อาจจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนักสำหรับประเทศนี้ เนื่องจากมีข่าวแย่ๆมากมายในช่วงที่ผ่านมา แต่ด้วยความคิดถึงและประทับใจจนอยากมาบอกต่อเลยขอมาเล่าให้ฟังคร่าวๆในกระทู้นี้ค่ะ  ว่าเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาปอไปเปิดประสบการณ์ที่ประเทศ “เยเมน” หืมม ฟังชื่อแล้วอาจไม่น่าพิสมัยเท่าประเทศยอดฮิตอย่าง อังกฤษ หรือฝรั่งเศส คำถามแรกที่จะโดนถาม คือ มันอยู่ส่วนไหนของโลกใบนี้เนี่ย? ตามมาค่ะ วันนี้ปอจะพาไปรู้จักประเทศนี้ให้มากขึ้น

สรุปคืออยู่ติดซาอุค่ะ แถวๆตะวันออกกลาง เป็นประเทศที่ไม่ใหญ่โตอะไรนัก
(เครดิตภาพ Al jazeera)

ถ้ายังนึกภาพไม่ออกว่าจะเห็นอะไรจากทริปนี้บ้าง เรียกน้ำย่อยๆ (ต้องขออภัยหากถ่ายภาพไม่ค่อยสวย แต่ขอเน้นความประทับใจและเรื่องราวในภาพค่ะ ^^)

ทำไมไปเยเมน?

ย้อนไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ช่วงอินดี้อยากไปเที่ยวที่แปลกๆ ก็นั่งเสิร์ชหาที่เที่ยวเรื่อยเปื่อยตามประสา ไปเจอกระทู้นี้ค่ะ http://pantip.com/topic/31230086  ไอ้เราก็เลื่อนดูลงไปเรื่อยๆ เจออันดับ 1 เกาะ Socotra (มีรูปต้น Dragon blood ในกระทู้) นึกในใจ โอ้โห ต้นไม้อะไรมันดูมหัศจรรย์ขนาดนี้ เหมือนมีพลังงานบางอย่างดึงดูดจากหน้าจอคอมให้ไปหาต้นไม้ต้นนั้น 55 แล้วก็ไปลองเสิร์จต่อในกูเกิลเกี่ยวกับเกาะนี้ โอ้ แม่เจ้าาาา  นี่มันสวรรค์ชัดๆ แล้วความคิดที่จะไปประเทศเยเมนก็ผุดขึ้นมาในหัว (ยอมรับว่าตอนนั้นยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเยเมนเลย) หาไปหามาก็ค้นพบว่าเยเมนนี่มันอันตรายนะ มีข่าวระเบิดบ้าง เป็นที่กบดานผู้ก่อการร้ายบ้าง(ดับฝันอย่างรุนแรง) โชคดีที่ไปเจอใน tripadvisor มีคนมารีวิวเกี่ยวกับเกาะนี้ไว้ดีมากๆ คือทุกคนที่ไปมาให้คะแนน 5/5 แถมมายืนยันว่าบนเกาะปลอดภัยไม่เหมือนในแผ่นดินใหญ่ของประเทศเยเมน แล้วเขียนเล่าซะเราอยากซื้อตั๋วเครื่องบินไปตอนนั้นเลย 55 ปอไม่รอช้าค่ะ ไปตามหาข้อมูลวิธีไปเกาะแห่งนี้ แล้วก็ค้นพบว่า ทางที่จะไปเที่ยวได้คือไปทัวร์ท้องถิ่น (ไปเที่ยวเองนี่ไม่รู้จะรอดมั้ย เพราะคนบนเกาะพูดภาษาท้องถิ่นเค้า Socotri มีพูดอารบิคบ้าง ที่สำคัญคือไม่มี wifi บนเกาะ แล้ว google map ก็ไม่มีประโยชน์ไปทันใด) แต่ด้วยความยุ่งชุลมุนของตารางเรียนตอนนั้นสุดแสนจะไม่เอื้อกับการไปทัวร์เลยต้องเลื่อนทริปออกไป….

ฝันเป็นจริง
หลังจากแพลนล่ม (แต่ไม่มีอะไรมาทำลายความอยากของปอได้) เมื่อปลายปีที่ผ่านมาก็มีอะไรมาบันดาลใจไม่รู้ให้ดูทัวร์ไปเกาะนี้อีกครั้ง ประจวบเหมาะกับมีเวลาว่างช่วงปีใหม่พอดี ปอเลยตัดสินใจไปฉลองปีใหม่ในที่ที่คิดว่าประหลาดที่สุดเท่าที่เคยฉลองมา เมื่อทุกอย่างพร้อม (งบ, เวลา, ความกล้าหาญ) ก็เข้าไปติดต่อกับเอเจนซี่ทัวร์โดยไปถามรายละเอียดต่างๆ จนตกลงปลงใจซื้อทัวร์ 7 คืน 8 วัน เกาะ Socotra และเมืองหลวง Sanaa โดยโปรแกรมเป็นแบบกึ่งๆลุย พักเต๊นท์ และแคมป์ไซด์เป็นส่วนใหญ่ มีพักโรงแรมแค่ที่เมืองหลวงและคืนแรกที่ถึงเกาะ  เจ้าของทัวร์น่ารักมากค่ะ ชื่อคุณ Nagib ปอติดต่อเค้าอยู่สักพักถามรายละเอียดเยอะมาก เค้าก็ยินดีตอบแแบบค่อนข้างรวดเร็วและเป็นกันเองสุดๆ ใครสนใจติดต่อผ่านทางลิงค์นี้ค่ะ ปอยินดีโฆษณาให้เค้าฟรีเพราะดีจริง ทัวร์ไป socotra  (อัพเดตล่าสุด มค 2020 บริษัทนี้ไม่มีแล้วนะคะ ถ้าไป อาจจะต้องหาไปกับทัวร์เจ้าอื่น มีฝรั่งมารีวิวว่าสามารถไปเที่ยวเกาะ Socotra ได้โดยบินจากอียิปต์หรือตุรกีค่ะ)

พอตกลงซื้อทัวร์ไป ก็ตื่นเต้นอยากเห็นประเทศเยเมนสุดๆแล้ว เตรียมแพคกระเป๋าอย่างดี

วีซ่าและการเตรียมตัว
ทางบริษัททัวร์จะขอ copy พาสปอร์ตของเราเพื่อติดต่อทำวีซ่าล่วงหน้าโดยเค้าจะจัดการให้เรา และเราสามารถไปรับวีซ่าได้ที่สนามบินเมื่อเราบินไปถึง (สะดวกมากๆ) ค่าทัวร์ที่จ่ายไปได้รวมทุกสิ่งอย่างในทริปไว้เกือบหมดแล้ว ทั้งวีซ่า, อาหาร, ที่พัก, ตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ, การเดินทางต่างๆในประเทศ, ไกด์ (ที่ไม่รวมแค่อุปกรณ์ดำนำ, ตั๋วเครื่องบินไปเยเมน และค่าใช้จ่ายชอปปิ้งส่วนตัว เท่านั้นเองค่า) ของใช้ที่เตรียมไปปอก็เตรียมไปแบบทริปแบคแพค อาจจะพกอาหารแห้งไปบ้างเผื่อไม่ชอบอาหารเค้า, ยารักษาโรคเล็กๆน้อยๆ, ครีมกันแดด ส่วนตั๋วเครื่องบินที่ไปเมือง Sanaaประเทศเยเมน มี 3 สายการบินคือ Royal jordanian, Turkish airways และ Egyptian airways เลือกได้ตามความชอบและราคาเลยค่ะ (ปอบินกับ Turkish airways) ส่วนตัวปอไม่คุ้นชินกับการเที่ยวแบบทัวร์เท่าไร เพราะชอบเที่ยวเอง ติส 55 แต่ครั้งนี้จำยอมเพราะเหตุผลหลักคือเที่ยวเองลำบากมากๆจริงๆ

(หน้าตาวีซ่าแบบบ้านๆ และสถานที่ขอ Visa on arrival ที่สนามบินค่ะ)

ลัดฟ้าสู่เกาะเอเลี่ยน

เมื่อเครื่องบินมาลงที่เมืองหลวง Sanaa ตอนนั้นเวลาราวๆ ตี 3 เจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์มาติดต่อเรื่องวีซ่าให้โดยเราก็ไปต่อแถวรอเจ้าหน้าที่ทำวีซ่า on arrival โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ถามอะไรมาก แค่ถามว่าอยู่กี่วัน ตั้งใจทำอะไรบ้าง แล้วก็บรรจงเขียนวีซ่าให้ (ไม่ได้เขียนผิดค่ะ) เขียนให้จริงๆด้วยปากกานี่แหละ ลูกทุ่งมากๆ 55 เเล้วปอก็เดินผ่าน ตม เข้ามาอย่างไม่ยากเย็นนัก มารอกระเป๋าพร้อมกับไฟลท์ที่จะไปเกาะ Socotra ในอีก 4 ชั่วโมงข้างหน้า บรรยากาศในสนามบินดูร้างและแอบน่ากลัวนิดๆ เพราะยังมีส่วนที่สร้างไม่เสร็จ

ที่สำคัญอากาศข้างนอกเข้ามาได้ค่ะ วันนั้นหนาวมากๆ ปอไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าหน้าหนาวไปเพราะไม่คิดว่าแถบตะวันออกกลางจะหนาวขนาดนั้น สั่นดิกๆอยู่สี่ชั่วโมง โชคดีที่มีสาวเยอรมันที่จะร่วมทัวร์เดียวกันร่วมเผชิญความหนาวอยู่เป็นเพื่อนกัน หลังจากนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ที่สนามบินมาประจำการ ถึงเวลา พวกเราก็เตรียมขึ้นเครื่องบินไปเกาะค่า

(ภาพขวาที่บริเวณที่ปอกับสาวเยอรมันนั่งท้าความหนาวเย็นรอขึ้นเครื่องไปเกาะค่ะ ร้างมากๆ 555)

ขออภัยที่ภาพเบี้ยวๆนะคะ ปอแอบถ่ายรูปมา ก่อนที่จะโดนทหารในสนามบินสั่งห้ามไม่ให้ถ่ายรูป

เกาะสวาทหาดสวรรค์

อาจจะยังจินตนาการไม่ออกว่าจะถ่อมาไกลแสนไกลที่เกาะนี้ทำไม แถมเสี่ยงอีกตังหาก ปออยากบอกว่า ตั้งแต่วินาทีเเรกที่ได้เหยียบสนามบินที่เกาะ socotra ก็แอบสัมผัสได้ถึงความดิบทางธรรมชาติและผู้คน แม้กระทั่งสายพานที่พวกเรารอกระเป๋ายังมีปัญหา 55 ต้องใช้คนมาแก้ไขกันยกใหญ่ (ให้มันได้ยังงี้สิ ระทึกกันตั้งแต่วันแรกที่ถึงเลย)

แล้วปอก็ค้นพบว่าเกาะนี้คนมาเที่ยวเยอะพอควรนะคะ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเกร่อเเบบที่อื่น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนยุโรปและรัสเซีย มีกะเหรี่ยงเอเชียอย่างปอโผล่ไปคนนึง (แต่หลังจากนั้นก็ไปเจอเพื่อนร่วมทัวร์ที่มาจากฮ่องกง) เมื่อกระเป๋าได้เดินทางเข้ามาสู่สายพาน นักท่องเที่ยวต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากความกังวลเป็นรอยยิ้ม ไกด์เดินเข้ามาหาปอและลูกทัวร์คนอื่นๆ แจ้งว่ากรุ๊ปเรามี 7 คน ที่สำคัญเป็นผู้หญิงโสดหมดเลย แถมมาจากทั่วจากทวีปทุกมุมโลก ออสเตรเลีย รัสเซีย ไทย ฮ่องกง อเมริกา เยอรมนี แต่ละคนประวัติการท่องเที่ยวโชคโชนและโชกเลือดมาก อย่างคุณน้าอเมริกาเที่ยวมา 190 ประเทศแล้ว อุต่ะ เอาละสิเริ่มเห็นถึงความสนุกของทริปนี้แล้ว 555

คุณไกด์กับหญิงโสดทั้ง 7

บุคคลที่น่าอิจฉา (หรือน่าสงสาร 55) น่าจะเป็นคุณไกด์ของพวกเราค่ะ (อาเหม็ด)  เพราะต้องรับมือกับสาวโสด 7 คนอย่างเลี่ยงไม่ได้ โชคดีที่มีคนขับรถอีก 2 คน(ซึ่งพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ดีนัก) ชื่อ อับดุลรอฟ และ ฮามาดะ เวลาคุยกับสองคนนี้ทีไรก็ฮาทุกทีเพราะพูดกันไม่ค่อยเข้าใจ แต่นิสัยดีและตลกมากค่ะสองคนนี้ เดี๋ยวอ่านต่อไปเรื่อยๆจะเห็นความรั่วของสองคนนี้ค่ะ

( คนนี้คือฮามาดะ ปอนั่งรถไปกับเค้าเกือบทั้งทริป)

สำหรับวันแรกที่ไปถึงเกาะ พวกเราจัดเก็บข้าวของที่โรงแรมที่ Hadibo (ตรงนี้ถือเป็นศูนย์กลางของเกาะที่เจริญสุดในแง่วัตถุ คือมีโรงแรม ร้านค้ามากมาย) โรงแรมก็ลูกทุ่งตามสไตล์ค่ะ ปอไม่ได้คาดหวังความหรูหราอะไรที่นี่เพราะจะมาดื่มด่ำกับธรรมชาติ

(เอารูปโรงแรมมาให้ดูค่ะ ห้องนี้ปออยู่คนเดียว)

ซึ่งวันที่เหลือต่อจากนี้ พวกเราจะได้นอนเต้นท์กันตลอดทริปค่ะ หลังจากจัดสรรข้าวของเรียบร้อย ไกด์พาพวกเราไป sand dune ค่ะ คือเป็นเนินทรายใหญ่ๆสีขาวที่สวยสะอาดมากๆ ติดกับทะเล ปอเห็นครั้งแรกก็รู้สึกถึงธรรมชาติแต้ๆ ไม่มีเจือปนก็ที่นี่ล่ะ เที่ยวมาเยอะ ที่นี่ไม่ได้ปรุงแต่งอะไรเลย  พวกเราถ่ายรูป เอนจอยบรรยากาศวันแรกกันอย่างสนุกสนานค่ะ

มาดูอาหารเย็นวันแรกดีกว่าค่ะ บรรยากาศริมทะเล อาหารง่ายๆ มีแป้งคล้ายโรตีบางๆ แกง และปลาทอดที่ดูเหมือนจะไหม้ แต่พอลอกเปลือกออกมาอร่อยมากๆค่ะ

แล้วก็ขอพาไปชมบรรยากาศใน Hadibo สักหน่อย ในเมืองยังค่อนข้างสกปรกในบางพื้นที่ค่ะ คนที่นี่ไม่จัดการเรื่องขยะกันเท่าไร อาจมีแค่กวาดๆให้หน้าบ้านดูดีแค่นั้น

ปีใหม่กับต้นไม้ประหลาดที่ตามหา

อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนแรกว่าจุดหมายหลักอย่างนึงของปอคือการมาเห็นต้น Dragon blood ด้วยตาตัวเองสักครั้งในชีวิต วันนี้พวกเราจะออกเดินทางไปบริเวณที่มีต้นไม้นี้เยอะๆค่ะ (ตอนแรกมโนว่าจะพบเห็นได้ทุกที่ในเกาะแต่ไม่ใช่ค่ะ มีบริเวณของเค้า) แถว Dixsam plateau กับ Homhil จะเจอได้มากที่สุด

ไกด์บอกว่าต้น Dragon blood เวลาเรากรีดต้นของมัน จะมียางสีแดงๆคล้ายเลือด เอามาเป็นยารักษาโรคได้ จะมีเด็กๆเอายางต้นนี้มาขายด้วยค่ะ ก้อนแดงๆในมือนั่นแหละค่ะ

ด้วยรูปร่างที่ดูแปลกตา กิ่งต้นนี้สวยมากๆเลยค่ะ แตกแขนงแผ่เป็นพุ่มใหญ่ๆ เดินดูไปก็ตื่นตาตื่นใจไป ถ่ายรูปกันจนพอใจไกด์ก็พาพวกเราไปต่อค่ะ

แล้วไกด์ก็บอกว่ามีสถานที่ลับที่นึง อยากไปมั้ย คุ้มค่าแก่การเดินแน่นอน พวกเราตกลง อื้อหือ เห็นแค่ทางเดินก็อลังการแล้ววว

แล้วสักพักก็ถึงจุดหมายปลายทางของเรา  แท้เเด้ ….. จากุสซี่ธรรมชาติระดับโรงแรมห้าดาวยังอาย เราสามารถลงไปเล่นน้ำในบ่อได้ค่ะ แล้ววิวนี่เป็นมหาสมุทรสุดลูกหูลูกตา ฟินกับวิวนี้มากจริง

ค่ำคืนนี้จะไปนอนกันที่ริมทะเลค่ะ กิจกรรมที่ปอได้ฝึกจากทริปนี้คือการกางเต้นท์ค่ะ 555

ตรงจุดนี้เป็นจุดดำน้ำ snorkeling หรือดำน้ำตื้นที่สวยที่สุดในเกาะค่ะ (เสียดายปอไม่ได้เอากล้องที่ถ่ายใต้น้ำได้ไป เลยอดเก็บภาพมาฝาก แต่อยากบอกว่าปะการังและปลาสวยมากๆเต็มไปหมดเลยค่ะ) อ้อ ที่สำคัญเกาะนี้ยังดังเรื่อง scuba ด้วย เห็นไกด์บอกว่าเคยเจอคนไทยมาดำน้ำที่นี่กันด้วย

บรรยากาศยามเย็นถ่ายจากเต๊นท์ที่นอนค่ะ เนื่องจากบนเกาะไม่มีอินเตอร์เนต เป็นการบำบัดโชเชียลเนตเวิร์คอย่างดีเลยค่ะ ปอมีแค่หนังสือและจิตใจที่ปล่อยวางและสงบนิ่ง มีความสุขสุดๆไปเลยค่ะ

กิจกรรมวันถัดมาเป็นการ trekking ระยะค่อนข้างไกล ไปถ้ำหินงอกหินย้อยที่ใหญ่ที่สุดในเกาะ เป็นการเดินแบบค่อนข้างทรหด คุณน้าอเมริกาไม่ขอสู้เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหอบ พวกเราเดินกันอยู่ราวๆ 3 ชม ก็ไปถึงบนถ้ำค่ะ

(บรรยากาศทางเดินขึ้นเขาไปถ้ำ)

นี่คือบริเวณปากถ้ำค่ะ ข้างในมืดมากๆ ปอเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาเยอะนัก แต่เป็นหินงอกหินย้อยที่สวยมากๆเลยค่ะ

ที่สำคัญจากหน้าปากถ้ำมองเห็นวิวแบบนี้

วันนี้เดินกันใช้พลังงานเยอะมากส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 55 สำหรับคืนนี้จะพิเศษเพราะเป็นคืนก่อนปีใหม่ เราจะไปที่ ArAr beach ค่ะ โลเคชั่นที่นอนคืนนะระดับเทพ มี Sand dune ขนาดใหญ่ทางซ้ายมือ ทางขวาเป็นชายหาดและทะเล

ระหว่างรอเค้ากางเต้นท์กัน (เพราะเรามีสลับเวรกางเต้นท์) ปอเลยปีนขึ้นไปบนเนินทรายเล่นๆค่ะ

และเราจะมีปาร์ตี้ปีใหม่เค้าท์ดาวน์เล็กๆกันที่นี่ โดยคุณ Nagib จัดเต็มให้กรุ๊ปเรา พานักแสดง นักดนตรีมาให้ความบันเทิง มีนักท่องเที่ยวกรุ๊ปอื่นมาร่วมแจมพวกเราด้วย ทำให้งานสนุกมาก เต้นกันยันตี 1 ได้ 55

( บรรยากาศการเตรียมอาหารคืนนี้ )

(ทีมนักดนตรี นางรำที่ขนกันมาเป็นคันรถ)

ก่อนนอนปอก็มานั่งคิดนะคะว่า วันนี้งานช้างระดับล้านดาวเลยค่ะ นอนเต๊นท์ลมเย็นๆ มองเห็นดาวแบบนี้ในคืนปีใหม่ เป็นอะไรที่เกินคาดมากค่ะ ทุกปีจะอยู่กับแสงสี พลุ หรือความบันเทิงทางวัตถุ พิเศษกว่าปีนี้คือกลับมาอยู่กับธรรมชาติแท้ๆ ปอไม่เคยคิดว่าปีใหม่ปีนี้จะมีความสุขและอิ่มเอมกับสถานที่ที่ไม่คาดคิดแบบนี้ นอนหลับฝันดีตลอดคืนเลย

ก่อนจะจบตอนแรกนี้ไป จะขอพูดถึงคนเยเมนหน่อยค่ะ เวลามีนักท่องเที่ยวผ่านมาเค้าจะรู้สึกให้ความสนใจเป็นพิเศษ บางคนก็มานั่งจ้องพวกเรา เหมือนเด็กๆกลุ่มนี้ บางทีมามองแบบพินิจพิเคราะห์อะไรสักอย่าง 55 แต่ทุกคนจิตใจดีค่ะ เป็นมิตรและต้อนรับนักท่องเที่ยวแม้จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ยิ้มแย้มแจ่มใส และที่สำคัญชวนดื่มชาตลอดค่ะ (เตือนว่า คนที่นี่ดื่มชาหวานมากกกกกกกกกกก เวลาเค้าเสิร์ฟชาปอจะขอแบบไม่ใส่น้ำตาลเลยค่ะ เคยขอแบบหวานน้อยแต่ก็ยังหวานอยู่ดี)

ปล. เผื่อใครสงสัยเรื่องงบของทริปนี้

ค่าตั๋วเครื่องบิน 13,000 บาท
ค่าทัวร์ 1100$US = 33,000บาท (ทัวร์รวมทุกอย่างแล้ว)

รวม 43,000 บาทค่า

เจอกันตอนที่ 2 นะคะ ยังสนุกเหมือนเดิมแน่นอน

You Might Also Like