ตอนที่ 1 ตะลุยแอฟริกาใต้
สารภาพว่าก่อนมาก็จินตนาการไม่ค่อยออกว่า การที่เราเป็นผู้หญิงคนเดียวไปเที่ยวแอฟริกาใต้มันจะรอดกลับมามั้ย 555 นี่เป็นครั้งแรกที่มาทวีปนี้ เลยหาข้อมูลไปพอสมควรเลย ทั้ง pantip และจากเวบไซต์ต่างประเทศ พอเห็นภาพสวยๆแบบที่เราไม่เคยเห็นก็ตื่นเต้นกับสิ่งที่จะได้ไปเจอ มีคนบอกว่า “สักครั้งในชีวิตให้ลองไป cape town แล้วคุณจะหลงรัก” ทริปนี้เลยแพลนว่าจะไป โจฮันเนสเบิร์ค, เคปทาวน์ แล้วก็ไปซาฟารีที่ Kruger National Park ทริปนี้พก Nikon D3100 ไปกับเลนส์เทเล เพื่อส่องสัตว์โดยเฉพาะ รู้สึกถ้าไม่มีกล้องคงไม่ได้เก็บภาพความประทับใจไว้กลับมาดูอีกนานๆ
เพียงเเค่ก้าวขาเหยียบประเทศแอฟริกาใต้ ก็เกิดเรื่องแล้วค่ะ ไม่ใช่เรื่องวีซ่าหรืออะไรนะ ตรงตรวจคนเข้าเมืองน่ารักมาก พอเห็นพาสปอร์ตเราก็พูดขึ้นมาว่า “สวัสดีครับ” เเบบชัดเว่อร์ ที่ประทับใจเป็นพิเศาคงเป็นเพราะเค้าเป็นคนผิวสี ที่อยู่ดีๆพูดภาษาไทยขึ้นมาแบบเราไม่ได้คาดคิดมาก่อน (ก็เคยเจอ ตม ทักแบบนี้ในหลายๆประเทศนะคะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศที่สุดฮิตยอดนิยมของคนไทย เช่น ฝรั่งเศส ฮ่องกง .. กลับมาประเด็นปัญหาที่เจอดีกว่า พอผ่าน ตม มาปุ๊ปก็จะเจอกับจุดรับกระเป๋าเลย เราก็รอ ร๊อ รอ จนเค้าบอกว่ากระเป๋าออกมาหมดแล้ว …. แล้วกระเป๋าฉันล่ะ?…. ตอนนั้นเริ่มหน้าซีดแล้ว ไม่เคยเจอเหตุการณ์กระเป๋าหายกับตัวเอง แล้วอีก 4 ชั่วโมงต้องบินจาก โจฮันเนสเบิร์ค (ขอเรียกย่อๆ ว่าโจเบิร์คนะคะ คนท้องถิ่นก็เรียกแบบนี้) ไปเคปทาวน์ (ซื้อไฟลท์แยกเพราะเจอโปรค่ะ รวมราคาเเล้วมันถูกที่สุดเลย แถมเวลาก็ไม่แย่) เลยเดินไปที่เค้าเตอร์ของสายการบิน เจ้าหน้าที่ชื่อ Renaldo (นิสัยดีมากเลยค่ะ อ่านไปเรื่อยๆจะรู้ว่าโชคดีที่เจอเค้า) เค้าพูดให้เราผ่อนคลายบอกให้ใจเย็นนะครับ เราจะรีบตามกระเป๋ามาคืนครับ แล้วก็ให้กรอกแบบฟอร์ม … ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ดำเนินการ สายตาเหลือบไปเห็นกระเป๋าเดินทางหลายใบ เซ็ทใหญ่เหมือนเพิ่งมาจากที่ไหนสักที่ เลยถามเค้าว่ามีกระเป๋าที่มาจาก istanbul มั้ยคะ เค้าบอกไม่ต้องไปหาหรอกครับ ตรงนั้นเป็นกระเป๋าที่ตกค้างจากเมื่อวาน …… ถามเค้าต่อว่า เเล้วกระเป๋าตกค้าง มาไม่ทันแบบนี้บ่อยมั้ย เค้าบอกมีราวๆจำนวนที่คุณเห็นตรงนั้นทุกวันเลยครับ ……อื้มมมมมม โอเค ปัญหาที่เจอนี่เรื่องปกติสินะ เลยผ่อนคลายไปบ้างนิดนึง โชคดีที่เอากระเป๋าเป้ใบเล็กใส่ของใช้ส่วนตัวมาบ้างนิดหน่อย บอกเค้าว่า ดิชั้นควรทำอย่างไรดีคะ ต้องบินไปเคปทาวน์แล้วก็อยู่ที่นั่นเกือบอาทิตย์ จะไม่มีของใช้เลย Renaldo เลยพาไปห้องเบิกชุดอุปกรณ์ยามฉุกเฉิน (ไม่รู้เรียกถูกมั้ย 555 ) ในถุงจะมีแปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ ยาสระผม เสื้อยืด ถุงเท้า อะไรทำนองนี้ค่ะ ประมาณว่า พอถูไถใช้ได้วันนึง หลังจากนั้นเค้าพาเดินไปหาเค้าเตอร์ของไฟลท์ในประเทศถึงที่เลย บอกเราว่าไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้กระเป๋าไปถึงเคปทาวน์แน่นอน เราก็ขอบคุณแล้วก็เดินไปรอเช็คอินแบบตัวโล่งๆ 555 เอาวะ มาถึงขนาดนี้แล้ว ลุยมันให้สุดๆไปเลยกับประเทศนี้ ….
ด้วยความที่ไปคนเดียวก็กลัวว่าเอากล้องออกมาถ่ายบ่อยๆจะมีอันตราย เลยมีรูปเยอะน้อยคละๆกันไปตามสถานที่ที่ไปนะคะ
เคปทาวน์ที่ฉันรัก
และแล้วก็บินถึงเคปทาวน์อย่างปลอดภัย ไฟลท์มาถึงราวๆทุ่มนึง แต่ตอนนั้นมืดแล้ว (เดือน มิย ที่แอฟใต้เป็นฤดูหนาวค่ะ มืดเร็ว) ไปถามที่ประชาสัมพันธ์ เอาที่อยู่ให้เค้าดู ขึ้นแทคซี่ไปเลยไม่ต้องรอรถเมล์หรอก เพราะฝนตกหนักด้วยเราเลยเรียกแทคซี่ในราคาราวๆ 300 บาทจากสนามบินไปโฮสเทล ซึ่งค่อนข้างไกลอยู่นะ ก็ดีเหมือนกันไปถึงที่เลย เราก็กลัวว่ามืดๆถ้าไปเดินหาโฮสเทลแบบไปประเทศอื่นมันอาจจะอันตราย (ซึ่งดีใจที่ไม่ได้มานั่งงกตอนนั้น เพราะมันอันตรายจริงๆ คนที่โฮสเทลเล่าให้ฟัง) แทคซี่ที่เจอเล่าเรื่องให้ฟังเยอะเเยะเลย ได้โอกาสก็ถามเรื่องเกี่ยวกับที่นี่ เค้าบอกว่าคนที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้เกือบทุกคน(ที่เจอมาก็จริงนะ พูดดีมากด้วย) เน้นว่า เป็นคนแอฟริกาใต้นะ ไม่ใช่ที่อพยพมาจากประเทศอื่น… ที่เคปทาวน์เจริญมากเป็นอันดับต้นๆในแอฟริกา (ตอนนั้นก็มืดนะ เรามองไม่ค่อยเห็นอะไรหรอก แต่เท่าที่เห็นไฟจากบ้าน จากตึกก็พอเดาได้ว่าเจริญจริง) ที่นี่ตอนฤดูหนาว เป็นเดือนที่มีฝนตกเยอะที่สุด (อ่าวซวยแล้ว 555 ฉันจะได้เที่ยว จะได้เห็นอะไรบ้างมั้ยเนี่ย) แต่ดีที่ไปตอนต้นเดือน มิย ตลอดเวลาที่อยู่ที่เคปทาวน์เจอฝนตกแค่คืนแรกที่ไปถึง วันอื่นๆตกตอนกลางคืน แล้วก็วันสุดท้ายที่จะกลับ เลยได้เที่ยว ได้ถ่ายรูปแบบสบายใจ ;D ไปถึงโฮสเทล ก็เจอการ์ดหน้าประตูที่เป็นกรงเหล็ก หืมมม ท่าทางน่ากลัวจริง แลดูเหมือนเข้าคุกยังไงไม่รู้ 555 แต่ชอบมากที่นี่ ทำเลดี สะอาด ปลอดภัย แถมพนักงานนิสัยดีมากๆ ( the backpacker) จองแบบเตียงเดียวห้องรวม 4 คน เมทคนข้างๆเป็นหนุ่มอเมริกันที่เฟรนลี่มากเว่อ เห็นแล้วนึกถึง เคน (ที่คู่กับบาร์บี้) ได้คุยกันพอควร ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มชาติไหนไม่รู้ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น เค้าก็อยู่ตลอดนะคะ แต่ตารางชีวิตของเค้าคือ กลางคืนออกเริงร่า กลางวันนอนหลับ – __- เลยไม่เคยได้คุยกันเลย (ถ้าหล่อก็ว่าจะปลุกมาคุยด้วยอยู่นะ เย้ยยล้อเล่น5555) วันแรกมาถึงแอบเหนื่อย เพราะเดินทางมายาวมาก สลบไปเลย ลืมกังวลเรื่องกระเป๋า….
ตื่นมาอย่างสดใส วันนี้ตั้งใจจะไปเดินเล่นรอบๆในเมือง สอบถามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจกับทางพนักงานของ hostel เค้าบอกว่า ให้ไป Bo-kapp จากที่พักเดินไปไม่ไกล ตรงนี้เป็นบริเวณที่โด่งดังจากบ้านที่มีสีสันสวยงามเรียงกัน
ต่อจาก Bo-kapp ก็นั่งรถไปที่ Victoria&Alfred waterfront ปัจจุบันเป็นศูนย์การค้า มีชิงช้าสวรรค์เห็นเด่นมาแต่ไกล (เห็นตอนแรก… เห้ย นั่นมันเอเชียทีคคคคคค 55 ) และมีท่าเรือที่จะไปเกาะ Robben ตรงนี้ค่ะ
ภาพบรรยายกาศที่ V&A waterfront
ตรงนี้เรียกว่า Noble square เป็นรูปปั้นของบุคคลที่มีความสำคัญต่อประเทศที่เคยได้รับรางวัลโนเบล ได้แก่ Albert Luthuli, Desmond Tutu, FW de Klerk และ Nelson Mandela
ส่วนใหญ่ตอนอยู่ที่เคปทาวน์เรานั่ง taxi ปนกับรถบัส (การเดินทางที่นี่ถ้าไม่อยากกังวลเรื่องอันตรายที่ได้ยินกันมา ก็นั่ง taxi ดีกว่าค่ะ ราคาไม่ได้แพงเลย คนท้องถิ่นก็ใช้บริการกันเยอะ แต่ขอให้ดู taxi ที่มีโลโก้ ดูเป็น official taxi มีมิเตอร์) เดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปมา ถ่ายรูปไปเรื่อย
เดินเล่นแบบชิวๆ จนเริ่มหิว วันนี้ตั้งใจจะไปกินอาหารร้านที่เค้าแนะนำกัน ร้าน Mama Africa
(http://www.mamaafricarestaurant.co.za/ เวบไซต์ของทางร้านค่ะ) เรารีบมาตั้งแต่ร้านเปิดเลย เพราะไม่ได้โทรจองโต๊ะ (ร้านนี้ดังอาหารท้องถื่นของแอฟริกามีเมนูแปลกๆให้ได้ลองชิม อาหารอร่อย ราคาแพงสำหรับคนท้องถิ่น เเต่สำหรับนักท่องเที่ยวราคารับได้) พอร้านเปิดเดินเข้าร้านไป โต๊ะเต็มหมดเลย เค้าถามว่ามากี่ท่านคะ บอกว่ามาคนเดียว นั่งที่บาร์ได้มั้ย สั่งอาหารได้เหมือนกัน เราเลยตกลงเพราะไม่ได้ซีเรียสอะไร (จริงๆคือหิวแล้วมากกว่า 55) เปิดเมนูมาเจอชื่ออะไรแปลกๆ เนื้ออะไรบ้างเนี่ย เลยถามบาร์เทนเดอร์ ว่าอะไรน่าลองชิมบ้าง เค้าบอกว่า ลองสเต็กร้านเราอร่อย สั่งเนื้อที่คุณชอบเลยครับ กวาดสายตาไปมาเจอชื่อ Kudu สะดุดตา ตัวอะไรเนี่ย ลองดูแล้วกัน 555 แล้วก็สั่ง Moxito มาลองเนื่องจากเป็นสาวก cocktail ไปที่ไหนก็อยากชิม (ร้านนี้อร่อย แนะนำๆ) รออยู่สักพัก สเต็กมาแล้วว หน้าตาดูดี พอชิมแล้วอร่อยมว้ากกก ไม่รู้อธิบายรสชาติยังไงดี เค้าทำมาอร่อยมาก ซอสที่มาคู่ก็รสชาติเข้ากัน อิ่มหนำสำราญแล้วก็เดินกลับที่พัก ตลอดเวลาที่อยู่ที่เคปทาวน์มาแค่วันแรกๆ ก็รู้สึกหลงรักเข้าอย่างจังแล้วล่ะ
** นี่คือ ตัว Kudu ก่อนที่จะกลายมาเป็น steak (มานั่งสารภาพบาปว่า ช้านกินอะไรเข้าไปเนี่ยยยยยยย)
เดบิตภาพ http://huntdrop.com/hunt/hunting-big-kudu
Peninsular tour
วันนี้จอง 1 day trip แบบ Peninsular tour ราคาสุดคุ้ม 670 ZAR (ค่าเงินของที่นี่คือ Rand, ตอนไป 1 ZAR = 3 บาท) สถานที่เที่ยวหลักๆในแพคเกจ คือ cape point, cape of good hope ดูเพนกวิน, ดูแมวน้ำ … ที่จองทัวร์เพราะเช็คอากาศแล้วฝนไม่ตก ฟ้าใส แล้วก็ได้ไปเที่ยวหลายที่ที่เราสนใจ แถมไม่ต้องห่วงเรื่องอันตรายด้วย มีไกด์นำทาง โปรแกรมทัวร์ค่อนข้างยาวทั้งวันเลย ตอนเช้าจะมีรถมารับที่ที่พักของเรา แต่รอนานมาก เลทไป 45 ได้ (เค้าบอกอย่าเอาแน่เอานอน เวลาที่นี่คือ african time มีเลทเป็นเรื่องปกติ เหมือนพี่ไทย 555 ชิวๆเนอะ ไม่มีเป๊ะๆแบบฝรั่งหรือคนญี่ปุ่น) แต่ให้อภัยเพราะไกด์ดูแลดีมาก มีสองสาวชาวสเปนที่พักที่เดียวกับเราจองโปรแกรมเดียวกันไป แล้ววนเข้าไปในใจกลางเมือง รับสาวๆชาวอังกฤษอีกราว 5 คน และคุณป้าอเมริกันอีกหนึ่งเกือบเต็มรถตู้พอดี เริ่มโปรแกรมด้วยการนั่งรถลัดเลาะริมฝั่งผ่าน Clifton ซึ่งบริเวณนี้เป็นจุดที่มีเศรษฐีมากมายมาซื้อบ้าน ไกด์บอกว่าเป็นบริเวณที่อสังหาริมทรัพย์แพงที่สุดในประเทศเลย ถัดจาก Clifton เป็นบริเวณที่เรียกว่า Camps bay คือสวยมว้ากกกกก เห็นมหาสมุทรแอตแลนติก อยู่ทางขวามือมีชายหาดทรายสีขาว ด้านซ้ายเป็นภูเขา
(นึกในใจว่า นี่วิวข้างทางก็ฟินจะแย่ละ 55) ขับไปเรื่อยๆสถานที่แรกที่เราไปกัน คือ Hout Bay จุดนี้รถจะจอดให้เราลงขึ้นเรือไป Duiker island ไปดู Seal เราต้องนั่งเรือไปจากฝั่ง เพราะพี่แมวน้ำเค้าอยู่บนเกาะเล็กๆ เราลงไปไม่มีที่นั่ง เลยไปนั่งข้างหน้าเรือกับคุณป้าอเมริกัน เพราะคนอื่นเค้ามาเป็นกลุ่ม เป้นคู่กันในรถ เตรียมกล้องจะไปถ่ายพี่แมวน้ำอย่างดี ปรากฏพอเรืออกจากฝั่งได้ครึ่งทาง คลื่นมาจากไหนไม่รู้ขนาดมโหฬารมาก เรือโคลงจนน้ำกระเซ็นเข้าเต็มหน้าเลย กล้องเกลิ้งต้องเก็บเข้ากระเป๋าไปก่อน 55 เดชะบุญเรือไปถึงตรงจนถึงจุดชมวิวแวะให้ถ่ายรูปแปบนึง จึงแชะรูปรัวๆ เบลอบ้างอย่าว่ากันนะคะ คลื่นเเรงมาก
แล้วมุ่งหน้าไปที่ Simon’s town ซึ่งไม่ไกลจาก Bolder beach เป็นชายหาดที่มีนกเพนกวินอาศัยอยู่
ก่อนไปตื่นเต้นมาก เพราะชอบนกเพนกวินแต่ไม่เคยเห็นจากเเหล่งอาศัยจริงๆ (ที่ไม่ใช่สวนสัตว์) ความพิเศษของที่นี่คือเป็นที่อยู่ของ “นกเพนกวินแอฟริกัน” หรือที่เค้าเรียกกันว่า African Jackass penguin
คือเราก็เพิ่งรู้วันนั้นว่านกเพนกวินนี่มีหลายสายพันธุ์กว่าที่คิดไว้ จากทางเข้ามีสะพานไม้ให้เดินลัดเลาะไปถึงหาดที่พี่เพนกวินรวมตัวกันอยู่ เดินไปเรื่อยๆ เจอพี่เพนกวินซ่อนตัวตามที่ต่างๆ
เพนกวินตอนเด็กๆขนจะฟูค่ะ พอโตมาขนก็หายไป >.< น่าร้ากกกกกก
ขึ้นมาบนบกบ้าง มุ้งมิ้ง
เพนกวินน่ารักมาก ถ่ายรูปไว้เยอะ อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ
ตัวนี้มีหัวใจด้วยยย
เราอยู่ตรงจุดนี้ประมาณ ครึ่งชัวโมงได้ หลังจากฟินกับนกเพนกวินจนอิ่มหนำสำราญ พวกเราเลยเคลื่อนย้ายไปที่ไฮไลต์ของวันนี้ แหลมกู๊ดโฮป เคยได้ยินชื่อมาตั้งแต่สมัยเรียน จะได้มาเห็นของจริงสักที อยากบอกว่าวิวระหว่างทางไปสถานที่ต่างๆมันช่างสวยแปลกตามาก ก่อนถึงทางเข้าจะมีการเก็บเงินค่าเข้ารถทุกคันเพราะเป็น National reserve แล้วไกด์ก็หาที่จอดรถ เพื่อเอาจักรยานลง ใช่แล้ว พวกเราจะปั่นจักรยานไปที่ Cape of Good Hope
จากตรงนี้เราปั่นไปที่จุดพักรถราวๆ 7 กม เพื่อรับประทานอาหารกลางวันที่ไกด์เตรียมมา วิวข้างทางมันสวยแบบบอกไม่ถูกจริงๆ แถมอีกสิ่งหนึ่งที่ได้พบเจอแล้วประทับใจมากๆคือ ความเป็นมิตรของคนที่ปั่นจักรยานสวนมา ไม่ว่ากี่คนก็ตาม ถ้าปั่นจักรยานสวนกันจะมีการทักทาย หรือไม่ก็ยิ้มแย้มให้กัน เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก พอเราทานอาหารเที่ยงกันเสร็จ ปั่นต่ออีกราวๆ 6 กม เพื่อไปแหลมกู้ดโฮป ระหว่างทางมีป้ายบอกตลอด ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงแต่อย่างใด อยู่ที่นี่สบายใจอย่างนึงคือ คนพูดภาษาอังกฤษ แล้วก็มีป้ายเป็นภาษาอังกฤษเกือบทุกที่ (ที่เห็นมานะ) ปั่นชิวๆไปไม่นานนัก เราก็ถึงสักที Cape of Good Hope ลมแรงมาก วันนี้อากาศดีสุดๆ มีแดดออก (อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าหน้าหนาวของที่นี่ส่วนใหญ่ฝนจะตก) ถ่ายรูปกับป้ายตามธรรมเนียมเสร็จสรรพ ก็ปีนเขาขึ้นไปจะเดินไปที่ Cape point คือไม่เสียใจเลยที่เดินมา พวกเราลองถูกลองผิดกันอยู่ราว 15 นาทีได้ 555 หาทางไปไม่เจอกัน วิวระหว่างทางมันช่างมหัศจรรย์ แล้วก็แชะภาพกระโดดตามเคย (ฝีมือคุณป้าเมกันเจ๋งนะเนี่ย เราโดด 2 ทีเอง 55)
เลยชมวิวเพลินพวกเราก็ถึง Cape point แล้ว พอมาถึงก็เริ่มครึ้มฝนเลย 555 แต่พวกเราก็ไม่หวั่นเดินไปถ่ายรูปจนหนำใจ
เห็นเจ้าจ๋อมั้ยคะ มาที่นี่ต้องระวังตัวดีๆ โดยเฉพาะคนที่มีขนมหรืออาหารในกระเป๋าตัวเอง พี่จ๋อจะเข้าไปกระชาก หรือแอบขโมยถ้าเราเผลอเลย ป้าเมกันที่มาด้วยกันโดนกับตัวเพราะนางพกชอคโกเเลตไว้ในกระเป๋า แล้วตอนถ่ายรูปดันวางกระเป๋าไว้กับพื้น พี่จ๋อวิ่งมาจากไหนไม่รู้ ขโมยกระเป๋าไปเลย ป้าวิ่งไล่อย่างตกใจมาก สุดท้ายไปกระชากลากถูกระเป๋าคืนมาได้ โดนรื้อหมดเลย กระเป๋าตังค์ด้วย ดีที่ของทุกอย่างยังอยู่ครบ ป้าบอกว่า นี่ถ้าโทรไปธนาคารเค้าคงขำน่าดู ถ้าบัตรเครดิตโดนลิงขโมย 55
ทริปวันเดียวของเราวันนี้เป็นอะไรที่คุ้มและสนุกมาก ใครมา Cape town แล้วมีเวลาไม่มาก ถ้าได้ได้ประสบการณ์ดีๆ แนะนำ Peninsular tour นะ มาถึงฉากดราม่า .. กลับมาถึงที่พักตามเรื่องกระเป๋า ยังไม่ได้เลย เราฝากให้ทางโฮสเทลโทรไปตามเรื่องกับบริษัทที่สายการบินให้ทำเรื่องตามกระเป๋า เค้าบอกว่าจะรีบตามให้เร็วที่สุด สุดท้ายก็ได้แต่รอ T_T นานกว่านี้จะไปซื้อชุดใหม่เพิ่มละนะ หึ!
เกาะแมวน้ำที่ไม่เจอแมวน้ำ
แผนการเดินทางของวันนี้ไปเที่ยวที่ Victoria and Waterfront แล้วช่วงบ่ายซื้อตั๋วไป Robben island บางคนฟังชื่อแล้วคงจินตนาการไม่ออกว่าเกาะนี้จะมีอะไร เท่าที่ค้นข้อมูลก่อนไปมา ชื่อเกาะนี้เป็นภาษาดัตช์ แปลว่า เกาะเเมวน้ำ เพราะตอนคนดัตช์ค้นพบเกาะนี้ เค้าเจอ แมวน้ำ, นก และเพนกวินจำนวนมากบนเกาะ (ปัจจุบันก็ยังเห็นเพนกวินอยู่นะ แต่เเมวน้ำไม่เห็น อาจจะโชคไม่ดี) เกาะนี้มีพื้นที่ราวๆ 5 ตารางกิโลเมตรแต่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์
เมื่อนั่งเรือจากท่าเรือที่ W&A waterfront ใช้เวลาไม่นานก็ถึงเกาะ ระหว่างทางเราจะเห็นวิว Table mountain เป็นอีกมุมมองที่สวยมาก (เรือจะดูคลื่นลมทะเลก่อนออกทุกวัน ถ้าคลื่นเเรงจะไม่ออกเรือเผื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว)
* รูปภาพบนเกาะปอใช้มือถือถ่ายนะคะ อาจจะไม่ค่อยชัด พอดีตอนนั้นเมมโมรีการ์ดไม่พอแล้วลืมหยิบไป (เขกกะโหลก 1 ที)
จะมีรถบัสสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคนที่ไป และไกด์บรรยายเรื่องราวภายในเกาะฟรีเป็นบริการที่รู้สึกมีประโยชน์แก่นักท่องเที่ยวทุกคนมาก เพราะไม่ใช่แค่นั่งเรือมาเดินดูๆแล้วจบไป แต่ยังได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเกาะนี้กลับบ้านไปด้วย (ภาพไกด์สาวที่มาบรรยายให้ฟัง)
เหตุผลที่เกาะนี้โด่งดังและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มาเคปทาวน์เพราะ เป็นสถานที่คุมขังอดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ และเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ คือ เนลสัน แมนเดลา และเป็นที่คุมขังอดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ กคาลิมา มุตลาอึนเท(Kgalema Motlanthe) รวมไปถึงนักโทษการเมืองที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย ซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่นี่นับสิบปีในระหว่างยุคแห่งการแบ่งแยกสีผิวในประเทศ
บนเกาะมีสถานที่หลายแห่งที่เราเข้าไปชมได้ แต่ส่วนใหญ่ที่เค้าพาไป คือ คุกหลายๆแห่ง ตอนนั้นมีการแบ่งชนชั้นของคนที่โดนขังในคุก ถ้าเป็นคนที่มีชื่อเสียง จะอยู่ที่นึง คนขาวที่นึง และคนดำอีกที่นึง (ฟังแล้วดูหดหู่ เพราะสภาพความเป็นอยู่และอาหารที่คนดำได้กินแย่มากๆ)
(ภาพคุกแห่งหนึ่ง มองจากระยะไกล)
บนเกาะมีสถานที่หลายแห่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน โบสถ์ มัสยิด เป็นต้น
(อันนี้เป็นโรงเรียนค่ะ)
ไฮไลต์ที่ปอรู้สึกประทับใจที่สุด คือ มีอดีตนักโทษเข้ามาพบปะพูดคุยเรื่องราวและชีวิตที่เค้าอยู่ในคุกให้ฟัง(เค้าอยู่ทันสมัย แมนเดล่าด้วย)
เนื่องจากเค้าเป็นคนผิวดำ สภาพความเป็นอยู่จึงแย่มากๆ เค้าบอกว่ามีช่วงนึงที่กะหล่ำปลีถูก จะได้กินแค่กะหล่ำปลีต้มเฉยๆ มีขนมปังชิ้นเล็กๆให้ สภาพห้องนอนก็แคบมาก คนราว 40 คนนอนอยู่ในห้องเล็กๆ หน้าต่างก็ไม่สามารถปิดได้ เมื่อถึงฤดูหนาว มีผ้าห่มบางๆให้คนละผืนเท่านั้น การติดต่อกับญาติก็ทำได้แค่เขียนจดหมาย พวกข่าวสารจากโลกภายนอกก็รับรู้ได้ ยกเว้น เรื่องการเมือง (ฟังเค้าพูดแล้วก็อิน น้ำตาปริ่มๆ)
เมื่อเค้าได้รับอิสรภาพพ้นโทษ เค้าและเพื่อนๆนักโทษ ว่ายน้ำจากเกาะเข้า mainland แล้วไปปีน table mountain เมื่อทุกคนอยู่บนยอดของภูเขา พวกเค้ามองลงมาเห็น Robben Island แล้วพูดขึ้นว่า ชาตินี้จะไม่ไปเหยียบเกาะนี้อีกแล้ว (แต่ก็พูดติดตลก เพราะตอนนี้เค้ากลับมาเกาะนี้อีกครั้ง เมื่อรัฐบาลติดต่อให้เค้ามาเป็นวิทยากรพิเศษบรรยายชีวิตที่อยู่ในคุก) พูดถึงเรื่องในคุกก็ฟังดูน่าหดหู่นะคะ รู้สึกคุ้มค่าที่ได้ไปเกาะนี้ ได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่ และได้สัมผัสกับสภาพคุกจริง (ตอนนั้นก็แอบขนลุกบางช่วงบางตอนที่เค้าบรรยาย)
ก่อนออกจากเกาะก็จะเห็นป้ายนี้ Freedom cannot be manacled “อิสระคือการไม่ถูกจองจำ”
ทำให้ฉุกคิดได้ว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ไม่เคยอยู่ในสภาพแบบนั้น
แล้วตอนเย็นก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อย ถ่ายรูปชมวิว ก่อนกลับไปตามเรื่องกระเป๋า ที่ยังดราม่าไม่จบสิ้น แต่ก็ไม่ได้มีข่าวดีใดๆ โทรไปตามแล้ว อีเมล์แล้ว กระเป๋ายังคงไม่มา เค้าบอกว่า เจ้าหน้าที่ติดตามให้แล้ว ตอนนั้นรู้สึกนอยมาก แต่ก็ออกแนวปลงๆแล้ว หลังจากคนรอบข้างพูดทำนองว่า ทำใจเถอะที่นี่คือแอฟริกา เราก็ได้แต่ปลง หวังว่าจะไปตามอีกรอบตอนกลับไปโจเบิร์ค
นั่งรถแดงชมเมือง
หลังจากได้ไปจุดสำคัญของเมืองตามที่ต้องการแล้ว วันนี้เลยตั้งใจจะลองนั่ง Hop-on Hop-off bus
(คล้ายๆรถบัสที่หลังคาเปิดประทุน มีที่ให้คนนั่ง ที่สำคัญเป็นสีแดงเเจ่ม คนเห็นชัด) ดูเส้นทางแล้วน่าสนใจมาก ที่เคปทาวน์มี 2 เส้นทางให้เลือก คือ เส้นสีแดง จะวิ่งวงในรอบๆ city centre ส่วนเส้นสีน้ำเงินจะวิ่งลงนอก ผ่านชายหาดและได้ไปแวะ wine tour ด้วย เราเลยเลือกสีน้ำเงินเพราะราคาเท่ากันและเราสนใจเส้นทางนี้มากกว่า(อาจจะทับเส้นทางที่ไปแหลมกู้ดโฮปแต่ก็อยากไปชิมไวน์ 555) ตกลงซื้อตั๋ว 1 วัน (สามารถเที่ยวได้ตั้งแต่รถรอบแรกจนรอบสุดท้าย สำหรับตารางเวลาที่รถจะมาดูได้ตามจุดจอดรถป้ายต่างๆ – สายสีแดงจะมีรถรอบถี่กว่าสายสีน้ำเงิน) ราคา 170 ZAR (ราวๆ ถ้าซื้อออนไลน์ได้ลดราคา 40 ZAR ด้วยนะ (ดูรายละเอียดได้ในเวบนี้เลยhttp://www.citysightseeing.co.za/capeTown.php)
คือ สำหรับปอการเที่ยวเคปทาวน์ด้วยการนั่งรถบัสนี้เป็นสิ่งที่แนะนำอีกอย่างนึงเลย อย่างน้อยก็อุ่นใจเรื่องความปลอดภัย และราคาก็ไม่แพงด้วย ได้แวะเก็บจุดสำคัญๆของทั้งเมือง มี audio guide บรรยายให้เราฟังบนรถด้วย เอาบรรยากาศบางส่วนจากที่นั่งรถบัสมาให้ชมกัน
(อันนี้ถ่ายตอนแวะกินข้าวที่ Fisherman’s wharf น่ารักมากเลย )
นั่งมาเรื่อยๆไปแวะบริเวณชิมไวน์ วิวสวยใช้ได้เลยค่ะ เดินเพลินๆ
จากไร่องุ่นก็มองเห็น table mountain
ส่วนตอนเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก ปอเลือกไปขึ้นกระเช้าชมวิวบน Table mountain ซึ่งเป็นอะไรที่คุ้มมากๆ กระเช้าที่ขึ้นไปไฮโซมากหมุนได้ 360 องศาเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเห็นวิวแต่ละจุดเท่าเทียมกัน (เป็นอะไรที่ทึ่งมาก เพราะเค้าทำเรื่องการท่องเที่ยวได้ดีกว่าที่เราคิดไว้เยอะ)
ขึ้นไปข้างบนลมแรงมากจนหนาว ดีที่มีแดดพอช่วยเพิ่มความอบอุ่น และแล้วก็มาถึงช่วงเวลาถ่ายรูปยามเย็น
เจอเจ้าตัวนี้วิ่งดุ๊กดิ๊กๆอยู่ แอบถ่ายซะหน่อย
มองลงไปด้านล่าง
แล้วก็เจอเหยื่อเดินผ่านมา จึงขอให้ถ่ายรูปนี้ … ฟินมากกกกก
เก็บตกภาพอีกหน่อย ถ่ายมาเยอะ อิอิ อันนี้มองไปอีกฟากนึง
แอบมีฉากน่ากลัวตอนเดินมาถ่ายรูปนี้ คือ ตั้งใจว่าไหนๆดึกแล้วจะเรียก taxi กลับที่พัก ไม่น่าเกิน 200 บาท แต่ดั้นเดินเลยลงมาจากจุดจอดรถที่คนพลุกพล่าน เดินถ่ายรูปมาจนเดินใกล้ถึงพงหญ้าสูงๆ เพิ่งตระหนักถึงความน่ากลัว เมื่อฟ้าเริ่มมืด เวลามีคนเดินผ่านมาเเต่ละคน อยู่ๆก็มีพี่มืดคนนึงตะโกนถามว่า “เดินคนเดียวในป่าตอนกลางคืน ใครจะดูแลเธอ?” ตอนนั้นสั่นเล็กๆ คิดในใจว่า ฉันกลัวพี่มากกว่าใครเลยตอนนี้ (55 แย่เนอะ เค้าอุตสาห์เป็นห่วงไปกลัวเค้าอีก) เดชะบุญมี taxi คันนึงขับผ่านมา กวักมือเรียกเราบอก 50 แรนด์ (ประมาณ 150 บาท) ไปส่งที่ที่พักเธอ (คือบนรถมีผู้โดยสารอยู่สี่คนเป็นฝรั่งผิวขาว เราเลยรีบวิ่งขึ้นรถเลย ณ จุดนี้ ) ขอบคุณสวรรค์มากที่ส่งพี่แทกซี่คันนี้มาไม่งั้นก็ไม่รู้ชะตากรรมชีวิตเหมือนกัน
ก่อนจะจากเคปทาวน์
คืนก่อนวันสุดท้ายในเคปทาวน์ เจอผู้ชายเยอรมันอายุรุ่นราวคราวเดียวกับปอ เป็นหนุ่มแว่นหน้าตาน่ารักคนนึงเข้ามาทักแล้วนั่งคุยด้วยในโซนนั่งเล่นขณะที่ปอกำลังติดต่อตามกระเป๋าอย่างเคร่งเครียดอยู่ นั่งคุยกันหลายชั่วโมงมากเพราะถูกคอ ทำให้ได้รู้จักกับกิจกรรมที่เค้ามาทำที่นี่คือ เป็นอาสามัคร
เลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม เราก็แบบ ห๊ะ? อาสาสมัครนี่ไม่ประหลาดใจนะคะ แต่เป็นอาสาสมัครเลี้ยงสัตว์นี่แปลกดี เค้าบอกว่า เค้าสนใจมาเป็นอาสาสมัคร เพราะอยากได้ประสบการณ์ เค้าคิดว่าความรู้จากห้องเรียนมันไม่ทำให้เค้ารู้จักตัวเองมากพอ เลยอยากมาลองทำอะไรแบบนี้ดู (เค้าบอกว่ายังมีอาสาสมัครอีกหลายแบบ เช่น ช่วยสร้างบ้าน, เป็นเจ้าหน้าที่ในโฮสเทล, สอนหนังสือ ฯลฯ อีกอย่างที่เป็นข้อดีของโปรแกรมนี้ คือ ได้กินอยู่กับ host family แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ (หรือถ้าเสียเงินเพิ่มเติมค่าอะไร เค้าจะเเจ้งไว้ในรายละเอียดงานตั้งแต่เเรก เค้าจะบอกว่าวันนึงทำงานกี่ชั่วโมง พักที่ไหนอะไรยังไง แต่น่าสงสารเค้าตรงที่ว่า เค้าจะมาเป็นอาสาสมัคร 3 เดือน แต่ทะเลาะกับแฟนตั้งแต่ก่อนมาจนวันนี้ (แฟนเค้าสไกป์มาหา ทะเลาะกันเป็นภาษาเยอรมัน เราพอฟังออกบ้าง แอบเผือกเบาๆ ) แล้วพอคุยเสร็จหน้าเสียมากเลย มาปรับทุกข์กับเราต่อ ฟังดูเป็นกูรูเนอะ เเต่เค้าคงไม่รู้ว่าเรานี่แฟนยังไม่มีเลย 555 ที่เล่าไปปลอบไปก็เห็นมาจากเพื่อน ประสบการณ์จากคนอื่นล้วนๆ (คิดในใจ ถ้าเค้าโสดเราคงแฮปปี้กว่านี้ 55) แล้วก็แยกย้ายกันไปนอน เราบอกลาเค้าเพราะพรุ่งนี้จะไปโจเบิร์ค ส่วนเค้าจะไปหา Host family ในอีก 2-3 วัน เพราะอยากเที่ยวรอบๆเคปทาวน์ก่อน แล้วก็มานั่งคิดว่า เราโชคดีเหมือนกัน ได้ทำสิ่งที่อยากทำ เป็นโสดมันก็อิสระดีเหมือนกันนะ 55 (ยังไม่เหงา เลยไม่รู้สึก) ตื่นเช้ามาฝนตกแรงพอควร เลยนั่งเล่นที่ห้องนั่งเล่น ก็ได้คุยกับคุณหมอสาวชาวสเปนคนหนึ่ง ได้แชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยวกัน พร้อมแลกเฟสบุค พอฝนซาก็ถึงเวลาที่ต้องจากเคปทาวน์แล้ว T_T เศร้าตรงมาแบบตัวเบามากๆ กระเป๋าเดินทางยังไม่มา กลับก็ตัวเบา ใช้เวลาไม่นานก็ไปถึงสนามบิน เตรียมพร้อมไปลุยตามกระเป๋าเดินทางที่โจเบิร์ค
รอติดตามอ่าตอน 2 นะคะ ปอจะพาไปเที่ยวซาฟารีและเมืองหลวงกัน