ทริปนี้เป็นอีกทริปที่เกิดจากการได้ตั๋วราคาถูกและประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่เราพร้อมจะไปลุยที่เที่ยวแปลกๆประจำปี ปอตั้งเป้าไว้ว่าช่วงก่อน 35 จะไปแอฟริกาอย่างน้อยปีละประเทศ ซึ่งเสิร์ชไปมาก็ไปเจอรูปสถานที่นึง ที่ดึงดูดให้ไปเอธิโอเปีย ซึ่งก็คือที่นี่ค่ะ
และแล้วทริปนี้ก็เกิดขึ้น แบกกระเป๋าไปคนเดียวโดยมีจุดหมายปลายทาง คือ danakil depression, active vocano , lalibela , addis ababa ฟังดูเหมือนจะไปยากแต่จริงๆแล้วไปง่ายมากค่ะ เพราะทริปนี้จำเป็นต้องใช้บริการทัวร์ท้องถิ่น เนื่องจากสถานที่ที่ปอจะไปนั้นเป็นพื้นที่อันตรายค่ะ ต้องมีทหารคุ้มกัน ไปไหนมาไหนก็ตามรายละเอียดที่ตกลงกับทัวร์เลยค่ะ โดยรายละเอียดของค่าใช้จ่ายทริปนี้ปอจะใส่ไว้ช่วงท้ายนะคะ
1) เป็นทริปที่เปิดหูเปิดตามากๆ ธรรมชาติยังดิบ / ชอบที่วิถีชีวิตของคนต่างจังหวัดยังพื้นบ้านมาก (คือคนยังใช้ลา ใช้อูฐ ยังใช้ม้าเกวียน) แบบที่ไม่ค่อยได้เห็นจากประเทศอื่นนัก
2) คนในเมืองหลวง Addis Ababa นั้นมีความโมเดิร์นอยู่ ทั้งการแต่งตัวและการใช้ชีวิต มีการเข้ามาลงทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะจีน จะเห็นได้ว่าสิ่งก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีร้านอาหารชิคๆหลายร้าน ลืมภาพเด็กพุงโร ก้นปอดไปเลย
3) ค่าครองชีพถูกมากกก รายได้ของคนเฉลี่ยต่อเดือนก็น้อยมาก ประมาณ 3000 บาทต่อเดือน ไม่รู้ว่าคนในเมืองหลวงอยู่ได้ยังไง แต่ต่างจังหวัดเค้าบอกว่าเค้าทำเกษตรกรรม น้ำก็ตักจากลำธารเอา
4) จะมีคนพื้นเมืองบางกลุ่มที่เค้าอยู่บริเวณที่ร้อนมากๆ ทำให้ต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ โดยโครงบ้านของเค้าจะทำมาจากไม้ เอามาสานๆกันตั้งบนพื้นดิน บางบ้านมีแคร่ แล้วเอาผ้าใบมาอุดกันลมกันฝนตามรูไม้สาน เวลาย้ายก็จะใช้อูฐขนทุกอย่างไป
5) มีไฟลท์บินตรง กทม- อดิส อบาบา ด้วยนะ และการมาที่นี่ควรมากับสายการบิน ethiopian เพราะถ้าจะบินในประเทศด้วยสายการบินนี้ (ซึ่งเป็นสายการบินหลักในประเทศ อารมณ์สายการบินเเห่งชาติ) เราจะได้ส่วนลด 50% โดยยื่นตั๋วที่บินระหว่างประเทศให้เค้าดู
6) คนที่นี่เฟรนลี่มากเว่อ ถึงขั้นยืนอยู่ข้างๆก็ทัก hi how are you? How was your day? แบบไม่รู้จักกันมาก่อน บางคนเเค่เห็นเราทำหน้างงๆเข้ามาชาร์ตทันที do you need help? เอ้อ ดีไปอีก
7) แป้ง injera เป็นแป้งคล้ายแพนเค้กที่คนที่นี่กินกับอาหารทุกสิ่ง คือ texture พอไหวคล้ายแพนเค้กบางๆแต่คือมันเย็นและเปรี้ยว เลยไม่ค่อยชอบและไม่คิดว่ามันเข้ากับการเป็นองค์ประกอบหลักของแต่ละมื้อ 555
8)วัฒนธรรมการกินเนื้อดิบคือสะพรึงมาก ตอน raw meat ก็คิดว่าเอ้อ เนื้อสไลด์บางๆแบบวากิวรึป่าว แต่พอเค้ายกถาดมา คือเนื้อวัวหั่นมาเป็นก้อนสี่เหลี่ยมหนาๆ ตกใจสุดตอนเห็นเค้าเอาห่อแป้ง จิ้มซอสเผ็ดแล้วกินอย่างเมามัน เอ้อ ขอบายก่อน เมนูนี้ (เนื้อวัวโลละประมาณ 370 บาทที่ร้านนี้)
9) ส้วมตามสนามบินถือว่าดี มีชักโครก ตามบ้านตามโรงแรมพอใช้ได้ กดน้ำได้บ้างไม่ได้บ้างแล้วแต่แต้มบุญ ส่วนเวลาไปตามที่เที่ยวจะเป็นส้วมธรรมชาติจ้า
10) คนที่นี่มีการนับเวลาของตัวเอง โดยเวลาท้องถิ่นจะช้ากว่าสากล 4 ชม ส่วนปีจะช้ากว่าสากล 8 ปี สรุปคือ ถ้าตอนนี้ที่นั่นเวลาสากลเป็น 21.00 เวลาท้องถิ่นจะเป็น 17.00 และเค้ากำลังอยู่ในปี คศ 2010
11)คนมาเที่ยวที่นี่เป็นหมอเยอะมาก ทั้งทริปเจอหมอ 5 คนได้ 55 (เคยอ่านเจอจากหลายๆรีวิวก็มักจะเจอหมอ) การไปภูเขาไฟควรเอาหน้ากากแบบที่ใช้ที่ kawah ijen ไป เพราะลมพัดมาที กำมะถันเข้าไปทุกสัดส่วนของร่างกาย หมอๆทั้งหลายถอยทัพออกไปก่อน บอกชั้นจะสูดกำมะถันไปมากกว่านี้ไม่ได้! ส่วนเรานั้นพอกลับไปที่แค้มป์แล้วกินน้ำ รสกำมะถันติดอยู่ในปากเลย 555
12) หลังจากการไปตะลุยย่านที่คนพลุกพล่านมากและเมืองต่างๆ คนเอธิส่วนใหญ่จะสูงโปร่งและผอม เจอคนอ้วนทั้งทริปแค่ 5% ได้
13) การไปเที่ยวไม่ยากและปลอดภัยกว่าที่คิด สามารถเดินคนเดียวได้ ไม่รู้สึกน่ากลัวแบบตอนเดินที่โจเบิร์ค (แอฟริกาใต้) แต่สำหรับสายท่องเที่ยวแบบสบายที่นี่อาจไม่ตอบโจทย์ ยกเว้นมาเที่ยวเมืองหลวงเพราะ รร หรูๆมีเยอะอยู่ ลำบากมั้ยลำบากแต่สำหรับปอ มันไม่ได้ยากไปกว่าการไป field trip ตอนเรียนเลยรู้สึกชิวๆ
14) การขึ้นรถสาธารณะนั้นหฤหรรษ์มาก ถูกก็จริงไม่เหมาะสำหรับคนเวลาน้อยอย่างยิ่ง อย่างรถบัสข้ามเมือง ตามตารางคือ 8 ชม สุดท้ายรถเสีย กว่าจะถึงคือ 2 วัน 5555
15) เราสามารถพบเจอทุกสิ่งเดินมาทักทายได้เวลานั่งร้านอาหารในต่างจังหวัด ตอนกินข้าวที่ผ่านมาปอเจอแพะจะเดินมากินอาหารในจาน เจอไก่ และเจอลาเดินงงเข้ามาที่โต๊ะ 555
16) บนถนนต่างจังหวัด การเจอรถคว่ำเป็นเรื่องปกติ รวมไปถึงการเจออูฐ เดินข้ามถนน เจอลา เจอแพะ อิสเวรี่นอมอลยูโน๊ว คนขับรถได้กล่าวไว้ 555
17) ที่นี่คือ ออริจิของกาแฟ เจอที่แรกที่นี่ โดยคำว่า coffeeมาจากคำว่า kaffa เป็นเมืองที่ปลูกกาแฟ วัฒนธรรมการกินกาแฟ ก็สุดมาก เค้าจะกินวันละ 3 เวลา เวลาละ 3 แก้ว (หัวใจยังทำงานดีอยู่มั้ย) อ้อ ป้าลูซี่ก็ถูกพบที่เอธิโอเปียนะ
18) ที่เที่ยวสวยๆทางธรรมชาติส่วนใหญ่ต้องไปทัวร์ เพราะค่อนข้างอันตรายในเชิงที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พิพาท ต้องมีทหารไปช่วยคุ้มกัน (ปอไปกับ ETT แล้วเมเนเจอร์พาไปเลี้ยงข้าวด้วย )Dallol, การได้เห็นลาวาปุดที่ปากปล่องภูเขาไฟ และทะเลเกลือคือที่สุดของทริปจริงๆ ประทับใจมากๆในฐานะคนที่เรียนธรณีวิทยา
19) คอกาแฟ น่าจะฟินเพราะที่นี่คือออริจิของกาแฟ
20) ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ของทริปนี้ เผื่อใครอยากลอกการบ้าน
-ปอได้ตั๋วไปกลับตอนเคนย่าแอร์เวย์ทำโปร 15,000 บาท
-ทัวร์ danakil+vocano+lalibella 700$ (รวมเกือบทุกอย่าง อาหาร ที่พัก)
-วีซ่า on arrival 50$
ตอนไปคือช่วงสงกรานต์ ร้อนแบบทนไหว ไม่ได้แสบผิวทรมานอะไรมากค่ะ แต่กันแดดให้ดีนะคะ
อยากบอกว่าถ้าอยากเจออะไรดิบๆในชีวิตก็ควรไป นี่ชอบมากและอยากกลับไปอีก ผู้หญิงมาคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร คนที่นี่นิสัยดี วีซ่าก็ on arrival
สำหรับปอคุ้มตั้งแต่ได้อัพเกรดนั่งบิสเนสขาไปแล้ว ขอบคุณเคนย่าแอร์เวย์ค่ะ ไว้พบกันใหม่รีวิวหน้านะค้า