หลายคนอาจจะคิดว่ามีเวลาแค่เสาร์อาทิตย์นี่จะทำอะไรได้บ้าง  บางทีก็อยากจะไปทำอะไรให้มันสุดๆ เที่ยวให้หลุดโลกไปเลย ความคิดนี้พุ่งเข้ามาในสมอง ต่อมอยากเที่ยวเริ่มทำงาน จึงทำให้เกิดความคิดที่จะไปประเทศไอซ์แลนด์  บินไปถึงคืนวันศุกร์แล้วกลับบ้านวันจันทร์ตอนเช้า  โปรแกรมก็ไม่ได้วางอะไรไว้มากมาย
จุดประสงค์หลักที่ไป คือ อยากเห็นแสงเหนือสักครั้งในชีวิตก่อนตาย  จุดเริ่มต้นของทริปนี้จะว่าบ้าก็บ้าค่ะ ปอโหลด app Aurora forecast มาแล้วเปิดเจอว่าวันที่ 14-17  พย แสงเหนือจะแรงมาก (วันที่นั่งดูคือประมาณวันที่ 10) ตอนนั้นไม่รู้อะไรบันดาลจิตบันดาลใจ นั่งคิดอยู่ 20 นาที แล้วกดซื้อตั๋วเลย แบบเอ้อ เอาวะไปคนเดียวเนี่ยแหละ รอใครไม่ได้แล้ว  55  (ปอยังมีวีซ่าเชงเก้นเหลืออยู่และจะหมดอายุ ต้นเดือน ธค ปีนั้น)   มาแพลนหลวมๆว่าจะนอนสัก 2-3 คืน คำนวณงบอะไรเสร็จสรรพ  พอจ่ายเงินค่าตั๋วกับค่าที่พักไป รู้สึกว่า “นี่ฉันบ้าหรือฉันบ้าวะ?” จะไปไอซ์แลนด์คนเดียวเพื่อไปตามหาแสงเหนือ (แถมก็ไม่การันตีด้วย) 555   – จะว่าไปแรงบันดาลใจและแรงขับเคลื่อนมันสูงมากเพราะอยากไปประเทศไอซ์แลนด์มาหลายปีแล้ว และแพลนว่าช่วงเวลาที่ตัวเองมาอยู่ประเทศอังกฤษจะไปไอซ์แลนด์ให้ได้ (แล้วก็ดีใจมากที่ทริปนี้เกินคาดจริงๆค่ะ)

ปล 1) ตอนนั้นเรียนอยู่ที่อังกฤษนะคะ โชคดีหน่อยไม่ไกลจากไอซ์แลนด์
2) มือใหม่หัดถ่ายภาพนะคะ มั่วๆไปเรื่อย เบลอบ้างอย่าว่ากัน 55

การเดินทางในประเทศ
หลังจากนั้นลองมานั่งคำนวณว่าเราจะเที่ยวในประเทศอย่างไร ก็ค้นพบว่ามีสองทางที่สะดวก คือ เช่ารถขับเอง หรือซื้อทัวร์ local พอคิดไปคิดมา การไปเที่ยวสองวันแล้วเช่ารถขับนี่แพงมากๆ เเถมต้องขับรถไกลมากหลายร้อย กม ต่อวัน มาดูราคาทัวร์มันเหมือนจะคุ้มกว่า  (ปกติเวลาไปเที่ยวจะไปเอง ไม่ได้ซื้อทัวร์ ) ปอเลยตัดสินใจซื้อทัวร์ local ตลอดทริปนี้โดยเลือกโปรแกรมที่เราสนใจ ลงตามวันที่เราต้องการค่ะ บริษัททัวร์ที่นั่นเค้าทำงานกันเป็นมืออาชีพมาก ตั้งแต่ airport transfer ไปจนถึงพาไปที่ต่างๆ บริษัทใหญ่ๆที่ปอเห็นก็มี  Greyline , Flybus ค่ะ เอาเวบไซต์มาแปะ  เผื่อใครสนใจ
ทัวร์ดูแสงเหนือ ปอซื้อจากที่นี่
ตัวอย่าง  AH33 Northern Lights Mistery <<< อันนี้คืออันที่ปอซื้อไปดูแสงเหนือค่ะ

แผนการเที่ยว
วันเสาร์ – 09.00-12.00  Blue lagoon ,
12.00-19.00 golden circle (Þingvellir National Park, Geysir hot spring area, Strokkur hot spring erupting, Gullfoss waterfall)
ตอนกลางคืนจองไปดูแสงเหนือ (ทัวร์แสงเหนือของบริษัท greyline เค้าจะให้โอกาสเราจองไปดูวันอื่นได้ถ้าวันที่เราไปดูแล้วไม่เห็นอะไรเลย
– ตั๋วที่ซื้อมีอายุ 2 ปี ในความคิดปอเป็นอะไรที่คุ้มมากๆสำหรับโปรแกรมนี้)

วันอาทิตย์ – south coast part, glaciar walk, waterfalls
ดูโปรแกรมอาจจะแน่นๆ แต่คุ้มค่ากับสองวันที่มีเวลาจริงๆค่ะ เก็บไฮไลต์สำคัญๆแม้จะพักอยู่ที่เรคยาวิคเท่านั้น (เป็นทัวร์แบบไปเช้าเย็นกลับ)

ข้อมูลเกี่ยวกับการไปดูแสงเหนือ
หลายคนในห้องบลูคงเจอกระทู้พี่หมอๆตะลุยโลก http://pantip.com/topic/32164247 และ ของคุณ snpt  http://pantip.com/topic/31177726
มีรายละเอียดเยอะแยะเลยค่ะ สำหรับคนที่จะไปเที่ยวแบบจริงจัง ขับรถเที่ยวกันเอง แนะนำให้อ่านเลย  กระทู้ปอเป็นฉบับรวบรัดคนมีเวลาน้อยแล้วกัน

ไปล่าแสงเหนือเสียเงินเท่าไร
อันนี้เป็นงบประมาณที่ใช้ไปสำหรับทริปนี้นะคะ จะเเพงตรงค่าตั๋วเพราะซื้อล่วงหน้าไม่กี่วัน แต่นี่คือคำนวณมาคร่าวๆว่าเป็นทางเลือกที่ถูกที่สุดที่หาได้แล้วค่ะ
ค่าตั๋วเครื่องบิน ลอนดอน -เรคยาวิค  9,500 บาท
ค่าที่พัก 3 คืน  3,120 บาท (Hostel)
ค่าทัวร์ blue lagoon+ golden circle + ตั๋วเข้า blue lagoon แบบธรรมดา  4,940 บาท
ค่าทัวร์ south coast + glaciar walk  5,720 บาท
ค่า airport transfer 1,248 บาท
ค่ากิน + โปสการ์ด เบ็ดเตล็ด 1,000 บาท (เอามาม่าและอาหารแห้งไปเองบ้างบางส่วน)
รวม 25,528 บาท

แต่สิ่งที่ได้รับมันล้ำค่าเกินราคาที่เสียไปมากค่ะ รู้สึกได้เห็นแสงเหนือแล้ว ชีวิตนี้คงนอนตายตาหลับ 55

เบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับการไปดูแสงเหนือ
–    ไม่มีใครการันตีได้ว่าจะเห็นแสงเหนือหรือเปล่า  เค้ามีพยากรณ์ที่ให้เราเข้าไปดูได้ก่อนนะคะ (แต่ให้แม่นยำหน่อยก็คือ 3 ชั่วโมงก่อนจะเห็น ซึ่งเราคงไม่สามารถอยู่ดีๆซื้อตั๋วเครื่องบินไปตอนนั้นได้ 55)
–    เตรียมอุปกรณ์ป้องกันหนาวมาให้พร้อมค่ะ ถุงมือ เสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ หมวก หรืออะไรที่คิดว่าทำให้อุ่น เพราะมาดูแสงเหนือต้องอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน
–    ถ้าวันไหนท้องฟ้ามืดครึ้ม ก็ตัดใจเลยค่ะ คืนนั้นไม่เห็นแน่ๆ เอาเวลาไปนอนพักรอคืนอื่นดีกว่า
–       แสงเหนือจะเห็นได้ชัดในช่วงหน้าหนาว ตั้งแต่ ตุลาคม – เมษายน เลือกช่วงเวลาให้ถูกด้วยนะค้า
–       ประเทศอื่นๆที่จะดูแสงเหนือได้ เช่น ฟินเเลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน รัสเซีย อเมริกา(อลาสก้า) เป็นต้น
–      มือถือ หรือไอแพด ถ่ายแสงเหนือไม่ได้แบบที่เราเห็นในรูปยังงี้นะคะ(ลองทำดูแล้ว) แนะนำให้เอากล้องไปเลย เช่น กล้อง mirrorless, DSLR หรือกล้องคอมแพค(น่าจะพอเห็น)  ที่ลองปรับค่าดูคือ ISO 800-3200 , F ต่ำๆ เช่น 2.8 , speed shutter 5-15 วิ , ตั้งค่าเป็น manual focus ไปที่ infinity * ขาตั้งกล้องสำคัญมากกกก* แนะนำให้เตรียมอุปกรณ์ไปนิสนึงหากต้องการภาพงามๆมาอวดเพื่อนนะคะ ปอก็มือใหม่
ศึกษาก่อนไปนิดหน่อย พอมั่วๆออกมาได้เหมือนกัน ดังนั้น คุณก็ทำได้ค่ะ !

มาดูที่เที่ยวกันดีกว่าค่ะ โปรแกรม golden circle จะมีสถานที่หลายแห่งรวมอยู่ในนี้ โดยแต่ละที่ก็ค่อนข้างห่างกันพอควรค่ะ ขับรถเองท่าทางหลายร้อยกิโลเลย

สถานที่แรกที่จะพาไปดู คือ Þingvellir National Park สถานที่นี้ถ้าแฟนซี่รีส์ Game of Thrones อาจจะเคยเห็นกันบ้างนะคะ
เป็นบริเวณที่เราสามารถสังเกตเห็นรอยต่อของแผ่นทวีปอเมริกาเหนือและแผ่นยูเรเซีย ( จากภาพคือ มองตามเส้นถนนไปจนสุด ทางขวามือของภาพ)

ไปต่อกันที่ Geysir หรือน้ำพุร้อนนั่นเอง ที่นี่ปอตื่นตาตื่นใจมากค่ะ ตอนแรกก็งงๆ เค้าไปมุงอะไรกันที่บ่อนี้

พอสักสิบนาทีหลังจากนั้นก็ได้เจอกับภาพนี้ ฟินไปเลยค่ะ

มาที่นี่ก็ใช้เวลานิดนึง เพราะเราต้องไปยืนรอลุ้นว่าเมื่อไรน้ำพุจะพุ่งขึ้นมา

แล้วก็มาถึงอีกที่นึงที่สวยน่าประทับใจค่ะ Gullfoss waterfall  น้ำตกขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงของไอซ์แลนด์

ทางเดินไปที่น้ำตก

มองลงไปจะเห็นแบบนี้

ที่นี่มีร้านคาเฟ่ มีซุปเนื้ออร่อยมากค่ะ ลองไปชิมกันดูนะคะ

อีกที่นึงที่อยากแนะนำก็คือ Blue Lagoon ค่ะ เป็นบ่อน้ำร้อน ที่มีสีฟ้าเพราะว่ามีซิลิกาอยู่ในน้ำค่ะ ที่นี่ค่าเข้าแบบธรรมดา 35 ยูโร จะได้สิทธิ์ในการใช้ที่อาบน้ำ ลอกเกอร์ และแช่ในบ่อค่ะ ไม่มีจำกัดเวลาแต่อย่างใด แต่ถ้าค่าเข้าแบบพิเศษขึ้น จะมีผ้าขนหนู มีเครื่องดื่ม มีโคลนพอกหน้า หรืออะไรอื่นๆแถมไปอีก ตามราคาความพิเศษ  ถ้าไปเองแบบประหยัด แนะนำให้เอาชุดว่ายน้ำ, ผ้าเช็ดตัว รองเท้าแตะ และยางรัดผมไปค่ะ เค้าบอกว่าถ้าผมโดนน้ำในบ่อนานๆจะแห้งมาก เพราะซิลิกาจะเคลือบ (แต่ไม่ได้อันตราย) ก่อนลงบ่อก็ให้บีบครีมนวดผมชโลมผมไปเลยค่ะ (เค้ามีให้) ไปดูบรรยากาศกัน

น้ำในบ่ออุ่นมากค่ะ แช่แล้วสบายตัวมากกกก

มีโคลนให้เราเอามาพอกหน้าได้ฟรี สำหรับทุกคน (ใครมีรังแค เอาไปพอกตรงหัวได้ด้วยนะคะ เค้าบอกว่าช่วย)  รู้สึกพอกแล้วหน้านิ่มขึ้น (มโนรึป่าวไม่แน่ใจ 55)

จากที่นี่ไปสนามบินใช้เวลาแค่ 20 นาทีเองค่ะ บางคนที่มาทรานสิท ก็ออกมาแช่บ่อระหว่างรอขึ้นเครื่องก็มี 55 แลดูเป็นกิจกรรมระหว่างรอที่ฟินมากนะคะ

สำหรับตอนกลางคืน ก็ไปดูแสงเหนือค่ะ อย่างที่ได้เล่ามาด้านบนแล้ว จะเริ่มไปตั้งแต่ สองทุ่มยันเที่ยงคืนตีหนึ่งเลยค่ะ  ที่ปอไปนั้นได้เห็นแสงเหนือช่วงราวๆสี่ทุ่มครึ่ง  แสงมาโชว์เต้นระบำอยู่ราวๆ 30 นาที ปริ่มกันไปถ้วนหน้า

“เรื่องราวดีๆระหว่างดูแสงเหนือ”
ระหว่างที่แสงเหนือเริ่มปรากฏ หลายคนที่มาชมแสงเหนือก็เริ่มปรบมือและแสดงความดีใจกันต่างๆนาๆ แต่คนที่พิเศษที่สุดเหมือนจะเป็นคุณยายที่ยืนอยู่ข้างๆระหว่างปอกำลังลองผิดลองถูกกับการถ่ายรูปใบนี้ คุณยายเล่าให้ฟังว่า เค้ามาดูแสงเหนือ 4 ครั้งกับสามีแต่ไม่เคยเจอสักครั้งเลย จนวันนี้ วันที่สามีจากเค้าไปแล้ว คุณยายมาคนเดียวด้วยความหวัง ว่าจะได้เห็นแสงเหนือสักครั้งในชีวิต… แล้วก็ได้เห็นจริงๆ… สีหน้าคุณยายมีความสุขมาก คุณยายยืนมองแสงเหนือที่กำลังเต้นระบำพร้อมกับบอกว่า ถ้าสามีคุณยายได้มาดูด้วยกันตรงนี้คงจะดีไม่น้อย แล้วน้ำตาคุณยายก็ไหลออกมา พร้อมกับแหงนหน้าไปบนท้องฟ้า ..ปอคิดว่าคุณยายคงมองทั้งแสงเหนือและคุณตาที่อาจจะอยู่บนนั้นก็เป็นได้…

กลับถึงที่พักราวๆ ตี1 นอนเก็บแรงไว้วันพรุ่งนี้ต่อ  โปรแกรมน่าตื่นเต้น เพราะจะได้ไปปีนธารน้ำแข็งครั้งแรกในชีวิต !!

เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการนั่งรถลัดเลาะ ชายฝั่งทางใต้ของไอซ์แลนด์ไปเรื่อยๆ เป็นวิวที่สวยงามมากค่ะ อย่างกับหลุดเข้าไปในหนังแบบแฟนตาซี ฉากอลังการ

มาแวะจอดถ่ายรูปสักหน่อย วันนี้อากาศดีมองเห็นภูเขาด้านหลังสวยงามมากกก

ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงที่ที่เราจะปีนธารน้ำแข็งหรือ Glaciar Hike แล้วน่าตื่นเต้นมากกกก
พอลงรถมา เค้าจะให้วัดไซส์รองเท้ากับรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการปีน (แต่ความคิดพอไม่ได้ปีนมากมายเท่าไร เรียกว่าเดินบนธารน้ำแข็งดีกว่า) อ้อ เราต้องมีรองเท้าที่หุ้มข้อดีๆแบบรองเท้าเดินป่าอะไรแบบนี้นะคะ ถ้าไม่ได้เตรียมมาเค้ามีให้ยืม

พอรับอุปกรณ์เรียบร้อย ไกด์จะพาเราเดินไปยังธารน้ำแข็งใช้เวลาราวๆครึ่งชั่วโมงค่ะ วิวระหว่างทางนี้สะดุดตาใช่มั้ยคะ


เค้าบอกว่าหนังมาถ่ายทำที่นี่เยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็น interstella, game of thrones, the secret life of Walter Mitty และอื่นๆอีกมากมาย

มาถึงธารน้ำแข็งแล้ว ที่นี่ไกด์จะสอนเราใส่หนามแหลมที่วัดไซส์รองเท้าไว้ (เพื่อให้เกาะพื้นน้ำแข็ง) เสร็จเเล้วก็เดินลุยกันเลย

ความรู้สึกตอนเดินเหมือนเราเป็นเครื่องไสน้ำแข็งแบบโบราณ คือมันเดินง่ายมาก ตอนแรกคิดว่าจะยากแบบไอซ์สเกตซะอีก สนุกเลยทีนี้ ไกด์จะพาไปเดินราวๆ 2 ชม โชคดีอากาศไม่หนาวมากเท่าไร

แล้วไกด์ก็พามาส่วนผาดโผนค่ะ เดินเข้าไปในช่องนี้

โดยรวมเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามาก เพราะฝันว่าอยากเดินบนธารน้ำแข็งมานานแล้ว ตอนแรกแพลนว่าจะไปทำที่ patagonia (แต่ยังไม่มีตังค์ไป 55) ได้มาฟินที่ไอซ์แลนด์ล่วงหน้าก่อนเลย

แถมวันนี้ได้มาน้ำตกที่สวยมากๆอีกที่นึงด้วย  อากาศดีมากก

แต่พอช่วงเย็น ฟ้าเริ่มครึ้ม ฝนตกลงมาค่ะ แอบเศร้านิดนึงเพราะตอนแรกคิดว่าจะได้ไปดูแสงเหนือก่อนกลับ อดเลยยย  ก่อนขึ้นเครื่องมีเวลาว่างเลยมาเดินเล่นในเมือง ถ่ายรูปรอบๆ เรคยาวิคค่ะ
อันนี้คือ Hapra เป็น concert hall มีดีไซน์แปลกตา สวยงามดีค่ะ

ส่วนนี่คือโบสถ์ Hallgrímskirkja Church ถือว่าเป็น landmark ของเมืองนี้เลย ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องมาแวะถ่ายรูปกับที่นี่ค่ะ

ขอสรุปทริปนี้ว่า เป็นการตัดสินใจที่บ้าบอ แต่คุ้มค่ามากค่ะ ครั้งนึงในชีวิตได้ทำในสิ่งที่ฝันมานาน แค่นี้ก็เติมเต็มความสุขในชีวิตไปได้อีกเยอะเลย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆเสาร์อาทิตย์  แต่ก็เต็มไปด้วยความประทับใจ และความทรงจำที่จะไม่มีวันลืมเลย กับประเทศนี้ …. ไอซ์แลนด์


— ไว้พบกันใหม่นะ —-

 

You Might Also Like